เรียนภาษาเวียดนามออนไลน์ฟรี สำหรับคนไทย แหล่งเรียนรู้ภาษาเวียดนามออนไลน์สำหรับคนไทย รวมคำศัพท์พื้นฐาน บทสนทนา และการอ่านออกเสียงง่าย ๆ
หัวข้อยอดนิยม
culture
(9)
customs
(1)
economic
(2)
Education
(5)
Entertainment
(5)
famous
(1)
food
(7)
football
(1)
gameshow
(1)
general
(1)
History
(10)
language
(16)
law
(1)
lifestlye
(32)
lifestyle
(6)
Music
(1)
MV
(5)
place
(1)
politic
(1)
singer
(2)
socities
(5)
sport
(1)
thai
(2)
travel
(6)
viet
(1)
vietnam
(18)
work
(2)
Showing posts with label lifestlye. Show all posts
Showing posts with label lifestlye. Show all posts
Thursday, November 11, 2010
ข่าวร้าย
Thursday, November 12, 2009
รำลึกถึงปลาก๊าแก่ว

Friday, October 3, 2008
วิธีลดโลกร้อนของชาวไซง่อน

การเดินทางไปทำงานด้วยรถเมล์ ลดค่าไฟด้วยการใช้หลอดประหยัดไฟ งดใช้ถุง
พลาสติก เพื่อลดโลกร้อน
ในเมืองไซง่อนหรือโฮจิมินห์ หากพูดว่า"Sài Gòn xanh=ใส่ ก่อน ซัง"(ไซง่อนเขียว)จะเป็นที่ทราบกันในหมู่นักดื่มกินเที่ยวว่าหมายถึงการสั่งเบียร์สักขวดนึงมาดื่มสนนราคาขวดละ 8.000ด่อง สำหรับชาวไซง่อนแล้วเบียร์ไซง่อน(Bia Sài Gòn)นั้นนับว่าเป็นที่นิยมกันมาก โดยแบ่งออกเป็นสองชนิดตามสีของฉลากขวด คือ Sài Gòn đỏ (ใส่ ก่อน ด๋อ=ไซง่อนแดง) ฉลากขวดแดง และSài Gòn xanh ฉลากขวดสีเขียว ผมดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติของขวดเขียวดื่มนุ่มกว่า ส่วนขวดแดงดีกรีแรงกว่าเปิดมาฟองจะฟูมากกว่า ดีกรี7% เบียร์แรงที่เคยดื่มมาก็เบียร์ดำRoyal Stout ของคาลส์เบิร์ก มาเลย์ สไตล์เดนนิชเป็นเบียร์สีดำกลิ่นออกโสมเกาหลีดีกรี8% ลองชิมที่บ้านเพื่อนคนแคนนาดาคุณAndyเผอิญเพื่อนคนฮอลแลนด์ชื่อดุ๊กแวะมาเยี่ยมที่พัทลุง เมื่อช่วงงานบุญส่งผีปู่ย่าตายายเมื่อ 29ก.ย.ที่ผ่านมา ก็แรงดีกระป๋องเดียวก็ตึงแล้ว นอกเรื่องอีกแล้วมาเข้าเรื่องกันดีกว่า
ทีนี้มาเข้าเรื่องของ Sài Gòn xanh กัน ซึ่งคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเบียร์แต่เกี่ยวข้องกับการสร้างนิสัยรักษ์สิ่งแวดล้อมและพื้นที่สีเขียวของชาวไซง่อน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อข่าวท้องถิ่นไซง่อน ได้ย้ำถึงผลการรายงาน การอภิปรายปัญหามากมายที่เกิดจากการใช้ถุงพลาสติก(Poly Ethylene=PE) หรือตามที่คนเวียตนามเรียกว่า túi xốp siêu thị(ตุ๊ย ซ้อบ ซิว ถิ=ถุงห้างช้อปปิ้ง) หรือ túi nylong(ตุ๊ย นาย ลอง=ถุงไนล่อน) ซึ่งถุงเหล่านี้สามารถพบได้โดยทั่วไปตามบ้าน
เมื่อเลิกงาน บรรดาผู้คนไปตลาดเพื่อซื้อกับข้าวในมื้อเย็น รวมทั้ง เนื้อ ผัก ปลา อาหาร ซึ่งต้องใช้ถุงพลาสติกใส่แยกชิ้นกัน หลังรับประทานเสร็จเศษอาหาร ต่างๆรวมทั้งขยะต่างๆที่ต้องใส่ลงถุง ลงถังกันในแต่ละวัน
จากข้อมูลดังกล่าวถ้านับแล้ว วันละเฉลี่ยห้าถึงสิบถุงใน 260วันต่อปี(คนทำงาน5วันต่อสัปดาห์,ปีละ52สัปดาห์) แต่ละปี คนไซง่อนคนหนึ่งจะสร้างขยะถุงพลาสติกถึงกว่า
1,300 ใบ โดยในจำนวนนี้ยังไม่รวมการใช้ถุงพลาสติกในช่วงหยุดสุดสัปดาห์!
ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ก็คงไม่ได้มากมายตามสถิติการใช้ต่อปี โดยชาวเวียตนามมีการใช้ถุงพลาสติกถึง 40 พันล้านถุงต่อปี คนเวียตนามทิ้งถุงดังกล่าว 480 ถุงต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ อย่างในอังกฤษ คนเขาใช้ถุงพลาสติก 8พันล้านถุงต่อปีเฉลี่ย 133 ถุงต่อคนต่อปี ในเวียตนาม ถุงพลาสติกใช้ได้ทนทานนานกว่าห่อด้วยกระดาษและใบตอง แต่ว่าการย่อยสลายตัวนั้นยาวนานมากๆ
อย่างในประเทศที่กำลังพัฒนา หลายๆประเทศเองก็ได้ประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับถุงพลาสติกต่อสังคมและชุมชน เช่นกัน โดยในเวียตนาม เมืองโฮจิมินห์ ห้าง METRO CASH&CARRY(ถนนออกเมืองไซง่อนสายฮานอยก่อนถึงเขตถู ดึก) เป็นเป้าหมายแรกของการหยุดขยะพลาสติก และสนับสนุนการใช้ถุงผ้าแทนที่ แต่ก็มีร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ยังคงยากที่จะงดใช้ถุงพลาสติก เพราะทุนไม่หนาพออย่างห้างใหญ่ๆ หากต้องแจกถุงผ้า
ทางหน่วยงานของรัฐเองก็สนับสนุนการประหยัดพลังงานไฟฟ้าโดยการใช้น้อยและปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นใช้งาน ปรับเครื่องทำความเย็นให้สูงขึ้นเพื่อประหยัดไฟ
ในส่วนของบ้านเรือน โรงงาน ปรับเปลี่ยนไปใช้หลอดผอมประหยัดไฟ แทนหลอดไส้ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา EVN(Electricity of Vietnam) หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและจัดจำหน่ายเวียตนาม ได้มีการรณรงค์ใช้หลอดประหยัดไฟ มีการจัดจำหน่ายไปทั่วประเทศ แต่แผนงานก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายนักที่จะประสบผลเพราะทางEVNเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ไม่ได้เป็นผู้ขายหลอดไฟโดยตรง
การขยับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันรถเป็นเหมือนการบังคับให้คนไซง่อนต้องรักษ์สิ่งแวดล้อมไปโดยปริยาย ทางการเองก็รณรงค์การงดใช้ มอ'ไซต์แล้วหันมาใช้รถเมล์ หรือเดินเท้าในระยะทางใกล้ๆแทน บางคนก็หันมาใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วยการใช้กระดาษแทนถุงพลาสติก พูดง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาพอควร บางครั้งต้องลดความสะดวกสบายลงบ้าง
Bioplastic ซึ่งเป็นพลาสติกพิเศษผสมเส้นใยธรรมชาติสามารถย่อยสลายได้ด้วยตนเองเป็นแนวคิดหนึ่งที่จะเข้ามาแทนที่ถุงพลาสติก แต่ก็ยังคงมีราคาที่สูงอยู่ ซึ่งก็คงยากหากจะงดใช้ถุงพลาสติกที่สะดวกกว่าในทันที การนำแนวคิดมาใช้ควรเริ่มทำที่ตัวแทนจำหน่ายผู้ผลิตที่จะลดการผลิตถุงนี้ โดยเริ่มจากการทำหีบห่อด้วยกระดาษหลายกล่องแล้วนำไปใส่ถุงพลาสติกใหญ่เพียงถุงเดียว อันนี้ก็ช่วยได้ ส่วนบ้านเราก็มีการนำกระดาษอัดชานอ้อยเป็นจาน ถ้วย ราคาก็สูงพอควร พอใช้ซ้ำครั้งสองครั้งพอได้
มาตรการของห้าง METRO CASH&CARRY นั้นได้เริ่มการงดแจกถุงพลาสติกฟรี จนสิ้นสุดเวลา จึงจะทำการขายถุงผ้าโดยลูกค้าต้องจ่ายเงินซื้อเอง แต่ก็นับว่ามีประโยชน์เพราะถุงผ้านั้นใช้ใส่ของได้หลายๆครั้ง
ผู้จัดจำหน่ายทั่วไปก็สามารถทำได้ ยิ่งถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้งดการใช้ถุงพลาสติก หรือหากจะปรับราคาถุงเล็กให้สูงขึ้นและปรับราคาถุงใหญ่ให้ถูกลง โดยทั่วไปแล้ว ถุงใหญ่สนนราคาถุงละ1.000หรือ2.000ด่อง แม่บ้านไซง่อนหลายคนเองก็คงไม่อยากซื้อไปใช้แน่เมื่อเทียบกับการที่ต้องใช้ถึงสี่ถุง บางทีเอาตังค์นั้นไปซื้อ Sài Gòn xanh สักขวดให้สามียังจะดีกว่า ฮ่า...(สี่ถุง=8.000ด่อง=เบียร์ 1 ขวด)
ที่มา:Quynh Thu,Saigon Times Weekly
Monday, September 15, 2008
มาตรการป้องกันนักขับรุ่นเยาว์ที่เวียตนาม

Thursday, December 20, 2007
เดินบนทางเท้าอย่างถูกวิธี

ในไซง่อนนั้น ทางเท้าควรจะเป็นที่ที่ผู้สัญจรเดินได้อย่างปลอดภัย ถ้ามีคนถามว่า"ทางเท้าคืออะไร?"โปรดอย่าคิดว่าเป็นเรื่องตลกนะครับ คุณอาจจะตอบว่า "เป็นทางเดินสองข้างถนนมีเอาไว้ให้คนเดิน"แล้วคุณเองคงต้องกลับไปขบคิดถึงที่มาของการถาม ในเวียตนามนั้น ผู้คนรู้กันมานานแล้วว่า ทางเท้าไม่ได้เป็นเพียงทางเดินข้างถนนแต่กลับเป็นหลายหลายสิ่ง ตั้งแต่คนปั่นจักรยานมาขายของ เป็นที่จอดรถ ที่วางของกองวัสดุ จูงสุนัขเดินเล่น(โดยไม่มีใครสนใจ) บางครั้งสุนัขก็ถ่ายอุจจาระเรี่ยราด(ถูกเป็นที่ต่อว่าต่อขานอย่างมาก)
หากมองว่าคนเวียตนามเองยังคงยากจน ดังนั้นทางเท้าจึงเป็นที่เลี้ยงปากท้องของพวกเขา ตั้งแต่เด็กขายหนังสือพิมพ์จนถึงคนปั่นจักรยานขายอาหาร ไซง่อนไม่ใช่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงเยอรมันที่มั่งคั่ง มีทางเท้าที่กว้างกว่าถนน เอาไว้ให้คนเดินเท้าหรือจะจอดรถตรงไหนก็ได้ คงไม่เหมือนปารีสฝรั่งเศสที่เจ้าของร้านกาแฟจะตั้งโต๊ะหน้าร้านบนทางเท้าโดยไม่เกะกะผู้คนบนทางเท้า แม้ว่าทางเท้าควรจะเป็นของผู้คนเดินเท้าตามพจนานุกรม เราคงต้องใจเย็นเดินเลี่ยงไปเดินบนถนนเพื่อรักษาใจเขาใจเราในการอยู่ร่วมกัน แม้จะเสี่ยงชีวิตต่อการถูกเฉี่ยวชนช่วงการจราจร คุณควรกลับมาดูในแต่ละวัน มีผู้คนทั้งชายหญิงแต่งตัวดีขับรถมอไซต์ หรือรถสกู๊ตเตอร์ หรือขับรถยนต์โก้หรูขับขี่อย่างประมาทไปบนทางเท้าทางข้ามบ้างที่มีผู้คนเดินสัญจร อืม...คุณบอกได้เลยว่า เป็นการวางระบบวางแผนจราจรที่แย่ ทำให้คนขับขี่รถไปบนทางเท้า เพราะการไม่ขยายถนนให้เพียงพอ แต่ยังไงก็มองไปอีกอย่างว่าคนขับขี่ใจร้อน เห็นแก่ตัว อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนเดินทางเท้าได้
ถนน Le Thi Hong Gam เขตหนึ่ง ยาวเพียง 100 ม.เหมือนกับถนนสายอื่นๆที่มีทางเท้าแคบๆไม่พอให้คนเดินได้ นับว่าแปลกดี อย่างถนนอื่นนั้น ทางเท้าไม่ว่างเรายังหาทางเดินบนถนนข้างทางได้ เมื่อสัปดาห์ก่อนถนนเส้นนี้ที่เชื่อมต่อแยกCalmette ถึง แยก Pho Duc Chinh กลับไม่มีที่ให้เดินเลย ด้านข้างพิพิธภัณฑ์หอศิลป์ใกล้ประตูทางเข้า EXIM Bank เวียตนาม ทางเท้าถูกกั้นเป็นที่สำหรับจอดรถมอไซต์ แต่ที่ได้รับการตำหนิมากมากก็คือการนำมาเป็นที่จอดรถยนต์ คนเดินเท้าไม่สามารถเดินได้ทั้งบนถนน ข้างทาง และข้างที่จอดรถ มีที่เดียวเท่านั้นก็คือกลางถนน จึงเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังรถที่วิ่งสัญจรทั้งหน้าและหลัง นานแล้วที่ไม่มีใครแก้ปัญหา อาจจะไม่มีใครเคยถูกรถชน เพราะเคยชินกับการเดินกลางถนนเส้นนี้ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ ผู้ประสบอุบัติเหตุสามารถฟ้องร้องค่าเสียหายรวมทั้งค่าทำขวัญได้
ถนนเส้นนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เมืองนี้ ที่จอดรถกินพื้นที่ทางเท้า ทางเท้าหลายที่ได้เปลี่ยนมาเป็นที่จอดรถทำให้ผู้คนต้องไปเดินกลางถนน จริงแล้วผู้คนไม่ได้ต้องการทางเท้า แต่อยากเดินอย่างความปลอดภัยมากกว่า ยอมจ่ายเงินภาษีไปเพื่อต้องการมีทางเท้า ผู้คนยังคงรอใครสักคนทำให้พวกเขามีความปลอดภัย
เมื่อไม่นานมานี้ เมืองโฮจิมินห์เกิดจราจรติดขัด ทางเทศบาลได้จัดการรณรงค์โครงการคืนทางเท้าให้ชาวบ้าน อย่างเช่นบนถนนLe Thi Hong Gam ได้ทำการกั้นเชือกเพื่อคนเดินเท้า และย้ายที่จอดรถออกไป โดยเราก็ยังหวังว่าจะยังคงมีโครงการนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อไม่นานมานี้ เมืองโฮจิมินห์เกิดจราจรติดขัด ทางเทศบาลได้จัดการรณรงค์โครงการคืนทางเท้าให้ชาวบ้าน อย่างเช่นบนถนนLe Thi Hong Gam ได้ทำการกั้นเชือกเพื่อคนเดินเท้า และย้ายที่จอดรถออกไป โดยเราก็ยังหวังว่าจะยังคงมีโครงการนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ที่มา::The SaigonTimes Weekly(EN)
Friday, November 2, 2007
ข้าวเหนียวนึ่งมื้อเช้ายอดนิยม
โดย Quynh Thu
สำหรับชาวไซง่อนที่รายได้น้อย โซย(xôi)หรือข้าวเหนียว ยังคงได้รับความนิยมในมื้อเช้าซึ่งพวกเขาพอที่มีงบจ่ายได้
บนถนน Le Loi เขตหนึ่งใจกลางกรุงไซง่อน ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงมุมถนน Pasteur แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้งตรงแยกถนนแรก และคุณจะเห็น เสาไฟที่เก่าแก่ที่สุดบนถนนLe Thanh Ton ในทรงเก่าแก่จนไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่แต่ก็กล่าวได้ว่ามันคงอยู่มากว่าหลายทศวรรษแล้ว
ทุกเช้าตั้งแต่หกโมงถึงเก้าโมงบนบริเวณทางเท้าใกล้กับเสาไฟนี้จะมีหญิงชราคนหนึ่งขายข้าวเหนียวนึ่ง อาหารเช้าฟาสฟู๊ดสไตล์เวียตนาม คุณยายกล่าวว่าได้ขายมาเป็นสิบสิบปีแล้ว ตามคำเล่าของคนที่อยู่แถวนั้นกล่าวว่าแกขายมานานพอพอกับอายุของเสาไฟต้นนี้
กล่าวโดยทั่วไป ข้าวเหนียวถูกนึ่ง เพื่อให้น่ารับประทานข้าวเหนียวนึ่งจึงมีหลากหลายสีสรร ถ้าใส่ lá da(ล้า ยา=ใบเตย)จะทำให้มีสีเขียว ถ้าใส่ np than(อัญชัน) ทำให้เป็นสีม่วง ถ้าใส่ขมิ้นจะมีสีส้ม ข้าวเหนียวที่มีสีสรรต่างๆนี้จะถูกเรียกรวมกันว่า xôi ngt(โซย หงอด)หรือ ข้าวเหนียวหวาน เพราะใส่น้ำตาลลงไปด้วย ใส่เนื้อมะพร้าวขูดและงาโรยหน้า เราจะสามารถเห็นได้ว่าทั้งหมดมาจากธัญญาพืช
ในทางกลับกัน โดยแท้จริงแล้ว xôi ngt(โซย หงอด=ข้าวเหนียวนึ่งหวาน) เดิมมาจาก xôi mn(โซย หม่าน=ข้าวเหนียวนึ่งเค็ม)ที่ใช้รับประทานกับสำรับอาหารในมื้อปกติยอดนิยมอย่าง ข้าวเหนียวไส้อั่ว(xôi lp xng), ข้าวเหนียวไก่(xôi gà) หรือข้าวเหนียวหมูหยอง(xôi chà bông)
ข้าวเหนียวนึ่งยังคงเป็นที่นิยมในมื้อเช้าของชาวไซง่อน เหมาะกับคนรายได้น้อยและในหมู่เด็กนักเรียนด้วยงบเพียง 5.000 เวียตนามด่องหรือสิบสองบาทกว่า เพียงหนึ่งห่อก็ช่วยให้บางคนอิ่มยาวไปจนมื้อเที่ยงเลย
ข้าวเหนียวหวานเองก็ได้รับความนิยมไปทั่วเวียตนามซึ่งยังไม่มีที่ไหนปรุงได้อร่อยเท่าเมืองไซง่อน รวมทั้งข้าวเหนียวเค็มก็เช่นกัน
เมื่อชาวไซง่อนมีรายได้ที่ดีขึ้น ข้าวเหนียวปกติเองก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกันจะเห็นได้จากร้านขายข้าวเหนียวเค็มหลายแห่งในไซง่อนตามมุมถนนBui Thi Xuanและถนน Cong Quynhในเขตหนึ่งเอง ที่เห็นมีผู้บริโภคเข้ามารับประทานข้าวเหนียวกันตั้งแต่เช้าจบเย็น
ในเมืองไซง่อน เองตามถนนCao Thang ได้รับฉายาว่าเป็น"ถนนแห่งข้าวนึ่ง" ในทุกวันตอนเย็น เลนหนึ่งของถนนจะเต็มไปด้วยรถเข็นขายข้าวเหนียวนึ่ง สังเกตได้จากหม้อนึ่งอลูมิเนียมหรือฝาปิดสเตนเลสขนาดใหญ่
มีคนไซง่อนที่นั่นเล่าเรื่องแบบติดตลกให้เราฟังว่า เขาพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เขตBinh Thanh ทุกวันเขาจะซื้อข้าวนึ่งห่อนึงจากหญิงคนขายที่มีกว่ายี่สิบห่อ เธอเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในอพาร์ทเม้นท์แห่งนั้นเพราะข้าวนึ่งเธออร่อยราคาก็ย่อมเยา ทุกเช้าจะมีลูกค้ามารอเข้าแถวซื้อหน้ารถจักรยาน จนมีคนบางคนสงสัยว่าทำไมเธอไม่ขยายธุรกิจโดยการเปิดร้านขายหรือซื้อรถเข็นขายของ เธอบอกว่าอย่างแรกเธอไม่มีทุนและอีกอย่างคือเธอกลัวว่าจะถูกเทศกิจจับกุมที่ขายของบนทางเท้า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกค้าประจำของเธอก็ประหลาดใจเมื่อเธอบอกว่าจะเลิกขายแล้ว จะไปเรียนฝึกภาษาอังกฤษและงานสำนักงาน เพื่อหางานอื่นทำบ้าง ทำให้พวกเขาเองรู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้กินมื้อเช้าที่ราคาแสนถูก อร่อย และเอาใจใส่ลูกค้า มาอย่างดีโดยตลอด อีกต่อไป
หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา ผู้คนแถวนั้นก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อ เธอและจักรยานคันเก่านั้นได้กลับมาอีกครั้ง พวกเขาดีใจมากที่จะได้มื้อเช้าที่อร่อยและราคาถูกอีกครั้ง เธอเล่าว่าการเรียนรู้ใหม่เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเธอ "ไม่มีอะไรที่ดีสำหรับฉันเท่ากับการขายข้าวนึ่งอีกแล้ว"
ธุรกิจเครือข่ายการขายอาหารประเภทฟาสฟู๊ดได้กระจายไปทั่วเมือง ได้สร้างกระแสค่านิยมใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่ในไซง่อน อย่างแฮมเบอเกอร์ และมันฝรั่งทอด ที่เป็นอาหารกินเล่น ข้าวเหนียวนึ่งก็ยังคงอยู่เป็นอาหารยามเช้าตามหลายๆโรงเรียน ตามเขตที่ยากจน คนขายข้างถนนจะขายข้าวเหนียวใส่รถเข็นขายหรือใส่ตะกร้าขายแก่พวกเด็กนักเรียน คุณจะลองแวะไปดูแถวถนนNam Ky Khoi Nghia หน้าโรงเรียนเทคนิค Cao Thang ทุกเช้าช่วงเปิดเรียนจะมีคนขายกว่าสี่สิบคนจอดรถตามมุมถนนเพื่อขายข้าวเหนียว
แม้ว่าชาวไซง่อนจะมีชีวิตที่เจริญขึ้นและธุรกิจที่เติบโตขึ้น ข้าวเหนียวนึ่งก็ยังคงเป็นมื้อเช้าและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยากจนที่นั่น
ที่มา::The SaigonTimes Weekly(EN)

บนถนน Le Loi เขตหนึ่งใจกลางกรุงไซง่อน ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงมุมถนน Pasteur แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้งตรงแยกถนนแรก และคุณจะเห็น เสาไฟที่เก่าแก่ที่สุดบนถนนLe Thanh Ton ในทรงเก่าแก่จนไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่แต่ก็กล่าวได้ว่ามันคงอยู่มากว่าหลายทศวรรษแล้ว
ทุกเช้าตั้งแต่หกโมงถึงเก้าโมงบนบริเวณทางเท้าใกล้กับเสาไฟนี้จะมีหญิงชราคนหนึ่งขายข้าวเหนียวนึ่ง อาหารเช้าฟาสฟู๊ดสไตล์เวียตนาม คุณยายกล่าวว่าได้ขายมาเป็นสิบสิบปีแล้ว ตามคำเล่าของคนที่อยู่แถวนั้นกล่าวว่าแกขายมานานพอพอกับอายุของเสาไฟต้นนี้
กล่าวโดยทั่วไป ข้าวเหนียวถูกนึ่ง เพื่อให้น่ารับประทานข้าวเหนียวนึ่งจึงมีหลากหลายสีสรร ถ้าใส่ lá da(ล้า ยา=ใบเตย)จะทำให้มีสีเขียว ถ้าใส่ np than(อัญชัน) ทำให้เป็นสีม่วง ถ้าใส่ขมิ้นจะมีสีส้ม ข้าวเหนียวที่มีสีสรรต่างๆนี้จะถูกเรียกรวมกันว่า xôi ngt(โซย หงอด)หรือ ข้าวเหนียวหวาน เพราะใส่น้ำตาลลงไปด้วย ใส่เนื้อมะพร้าวขูดและงาโรยหน้า เราจะสามารถเห็นได้ว่าทั้งหมดมาจากธัญญาพืช
ในทางกลับกัน โดยแท้จริงแล้ว xôi ngt(โซย หงอด=ข้าวเหนียวนึ่งหวาน) เดิมมาจาก xôi mn(โซย หม่าน=ข้าวเหนียวนึ่งเค็ม)ที่ใช้รับประทานกับสำรับอาหารในมื้อปกติยอดนิยมอย่าง ข้าวเหนียวไส้อั่ว(xôi lp xng), ข้าวเหนียวไก่(xôi gà) หรือข้าวเหนียวหมูหยอง(xôi chà bông)
ข้าวเหนียวนึ่งยังคงเป็นที่นิยมในมื้อเช้าของชาวไซง่อน เหมาะกับคนรายได้น้อยและในหมู่เด็กนักเรียนด้วยงบเพียง 5.000 เวียตนามด่องหรือสิบสองบาทกว่า เพียงหนึ่งห่อก็ช่วยให้บางคนอิ่มยาวไปจนมื้อเที่ยงเลย
ข้าวเหนียวหวานเองก็ได้รับความนิยมไปทั่วเวียตนามซึ่งยังไม่มีที่ไหนปรุงได้อร่อยเท่าเมืองไซง่อน รวมทั้งข้าวเหนียวเค็มก็เช่นกัน
เมื่อชาวไซง่อนมีรายได้ที่ดีขึ้น ข้าวเหนียวปกติเองก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกันจะเห็นได้จากร้านขายข้าวเหนียวเค็มหลายแห่งในไซง่อนตามมุมถนนBui Thi Xuanและถนน Cong Quynhในเขตหนึ่งเอง ที่เห็นมีผู้บริโภคเข้ามารับประทานข้าวเหนียวกันตั้งแต่เช้าจบเย็น
ในเมืองไซง่อน เองตามถนนCao Thang ได้รับฉายาว่าเป็น"ถนนแห่งข้าวนึ่ง" ในทุกวันตอนเย็น เลนหนึ่งของถนนจะเต็มไปด้วยรถเข็นขายข้าวเหนียวนึ่ง สังเกตได้จากหม้อนึ่งอลูมิเนียมหรือฝาปิดสเตนเลสขนาดใหญ่
มีคนไซง่อนที่นั่นเล่าเรื่องแบบติดตลกให้เราฟังว่า เขาพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เขตBinh Thanh ทุกวันเขาจะซื้อข้าวนึ่งห่อนึงจากหญิงคนขายที่มีกว่ายี่สิบห่อ เธอเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในอพาร์ทเม้นท์แห่งนั้นเพราะข้าวนึ่งเธออร่อยราคาก็ย่อมเยา ทุกเช้าจะมีลูกค้ามารอเข้าแถวซื้อหน้ารถจักรยาน จนมีคนบางคนสงสัยว่าทำไมเธอไม่ขยายธุรกิจโดยการเปิดร้านขายหรือซื้อรถเข็นขายของ เธอบอกว่าอย่างแรกเธอไม่มีทุนและอีกอย่างคือเธอกลัวว่าจะถูกเทศกิจจับกุมที่ขายของบนทางเท้า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกค้าประจำของเธอก็ประหลาดใจเมื่อเธอบอกว่าจะเลิกขายแล้ว จะไปเรียนฝึกภาษาอังกฤษและงานสำนักงาน เพื่อหางานอื่นทำบ้าง ทำให้พวกเขาเองรู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้กินมื้อเช้าที่ราคาแสนถูก อร่อย และเอาใจใส่ลูกค้า มาอย่างดีโดยตลอด อีกต่อไป
หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา ผู้คนแถวนั้นก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อ เธอและจักรยานคันเก่านั้นได้กลับมาอีกครั้ง พวกเขาดีใจมากที่จะได้มื้อเช้าที่อร่อยและราคาถูกอีกครั้ง เธอเล่าว่าการเรียนรู้ใหม่เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเธอ "ไม่มีอะไรที่ดีสำหรับฉันเท่ากับการขายข้าวนึ่งอีกแล้ว"
ธุรกิจเครือข่ายการขายอาหารประเภทฟาสฟู๊ดได้กระจายไปทั่วเมือง ได้สร้างกระแสค่านิยมใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่ในไซง่อน อย่างแฮมเบอเกอร์ และมันฝรั่งทอด ที่เป็นอาหารกินเล่น ข้าวเหนียวนึ่งก็ยังคงอยู่เป็นอาหารยามเช้าตามหลายๆโรงเรียน ตามเขตที่ยากจน คนขายข้างถนนจะขายข้าวเหนียวใส่รถเข็นขายหรือใส่ตะกร้าขายแก่พวกเด็กนักเรียน คุณจะลองแวะไปดูแถวถนนNam Ky Khoi Nghia หน้าโรงเรียนเทคนิค Cao Thang ทุกเช้าช่วงเปิดเรียนจะมีคนขายกว่าสี่สิบคนจอดรถตามมุมถนนเพื่อขายข้าวเหนียว
แม้ว่าชาวไซง่อนจะมีชีวิตที่เจริญขึ้นและธุรกิจที่เติบโตขึ้น ข้าวเหนียวนึ่งก็ยังคงเป็นมื้อเช้าและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยากจนที่นั่น
ที่มา::The SaigonTimes Weekly(EN)
Thursday, November 1, 2007
ที่มาชื่อเมืองโฮจิมินห์

-ชื่อเดิมในภาษาเขมร เมืองไซง่อนเดิมนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อเดิมที่มาจากภาษาเขมรว่า ไพร นคร ซึ่งมีความหมายว่า เมืองป่าพนาวัณ ในปัจจุบันทางชาวเขมรชนกลุ่มน้อยบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงก็ยังคงเรียกเช่นนี้อยู่
-ชื่อเรียกในเวียตนาม หลังจากที่ไพรนครตกเป็นเมืองของชาวเวียตนามที่มาจากทางตอนเหนือ นับแต่นั้นจึงได้เรียกเมืองนี้ว่า ไซ่ ก่อน(Sài Gòn) มีข้อถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับที่มาชื่อเมืองนี้ และข้อวิเคราะห์ต่างๆเกี่ยวกับชื่อนี้ตามภาษาเวียตนาม
โดยก่อนหน้าที่จะใช้ชื่อเมืองว่าไซง่อนนั้น ไซง่อนได้ถูกเรียกว่าเมืองยา ดิ่น(Gia Ðịnh) ในสมัยที่ยังคงตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จนปี คศ.1862 ทางฝรั่งเศสจึงได้เปลี่ยนมาเรียกเมืองอย่างเป็นทางการว่า เมือง "Saïgon" แต่โดยมากนิยมเรียกกันว่าเมือง Sài Gòn
จะว่าไปแล้วจากการเรียงคำ ในภาษาเวียตนาม Sài Gòn คำเขียนจะเขียนแยกห่างสองพยางค์ เพื่อความสะดวกในการอ่านออกเสียงสำเนียงภาษาเวียตนาม แต่ก็มีบางคนยังคงเขียนชื่อเมืองเป็นSàiGòn หรือ Sàigòn เพื่อความกระชับสั้นหรือดูแบบอย่างภาษาอังกฤษ
-รากศัพท์ในภาษาเวียตนามเป็นที่รู้กันว่าคำว่า Sài เป็นคำโดดในยืมมาจากภาษาจีน(อ่านว่า chái ในภาษาจีนกลาง) แปลว่า ฟืน,ซุง,กิ่งไม้,ไม้กั้นรั้ว คำว่า Gòn ยืมมาจากคำจีน (อ่านว่า gùn ในภาษาจีนกลาง) แปลว่า แท่ง,เสา,ซุง รวมคำทั้งสองจะมีความหมายว่า ต้นฝ้าย ในภาษาเวียตนาม(bông gòn=บอง ก่อน,gòn)บางคนกล่าวว่าชื่อนี้มีที่มาจากต้นฝ้ายจำนวนมากมาย ที่ชาวเขมรได้ปลูกไว้บริเวณโดยรอบไพรนคร ซึ่งยังคงสามารถมองเห็นได้จากบริเวณพื้นที่โดยรอบวัดCây Mai...
อีกที่มาก็คือ Trương Vĩnh Ký, "Souvenirs historiques sur Saïgon et ses environs", in Excursions et Reconnaissances,Imprimerie Coloniale, Saïgon, 1885 กล่าวว่ารากศัพท์ กิ่งแขนง(Sài) และ ลำต้น(Gòn) หมายถึง ป่าไม้ดงดิบที่ชุกชุม ที่ขึ้นอยู่โดยรอบเมือง ซึ่งตรงกันกับที่ชาวเขมรใช้เรียกกันว่าไพรนคร
ชาวจีนทั้งที่อยู่ในจีนและเวียตนามกลับไม่ได้เรียกเมืองนี้ว่า Chaai-Gwan ในภาษากวางตุ้ง หรือ Cháigùn ในภาษาจีนกลาง แม้จะมีนำสำเนียงรากศัพท์มาจากภาษาจีนแต่ชื่อไซง่อนเป็นคำตามภาษาเวียตนามที่แสลงเสียงมา ชาวจีนจึงเรียกเมืองนี้ว่า Sai-Gung ในภาษากวางตุ้ง หรือ Xīgòng ในภาษาจีนกลาง ซึ่งมีความใกล้เคียงตามสำเนียงมากที่สุด
-รากศัพท์ในภาษาเขมรอีกที่มากล่าวว่า "Saigon" มาจากคำว่า "Sai Con"ซึ่งน่าจะมาจากคำเขมรว่า ไพร คร แปลว่า ดงป่าต้นนุ่น คำว่า ไพร คร เป็นคนละคำกับ ไพร นคร ตามคำเขมร(คร=ต้นนุ่น,นคร=เมือง)ตามรากศัพท์แล้วคำในภาษาเขมรนี้มีความเกี่ยวพันกันน้อยมากนับแต่ชาวเวียตนามกลุ่มแรกเข้ามาในภูมิภาคนี้ จะว่าไปแล้วคำว่า ไพร ในภาษาเขมรกับคำว่า Sài ในภาษาเวียตนาม ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยไม่ว่าจะด้วยสำเนียงการออกเสียงเดิมทีก็ตาม
-รากศัพท์ในภาษาจีนกวางตุ้งที่มาชื่อเมืองเสนอโดยVương Hồng Sển โดยนักวิชาการเวียตนามต้นศตวรรษที่20 ซึ่งได้ยืนยันว่าคำว่า Sài Gòn มาจากชื่อในภาษากวางตุ้งว่า Chợ Lớn(เจอะ เลิ้น) ซึ่งเป็นชื่อเขตชุมชนชาวจีนในเมืองไซง่อน ชื่อของเจอะเลิ้นในภาษากวางตุ้งว่า "Tai-Ngon" แปลว่า เนินดิน ที่ดอน จึงเป็นสิ่งสนับสนุนว่าชื่อเมืองไซง่อน เพี้ยนมาจากคำว่า"Tai-Ngon"
-ชื่อปัจจุบันวันที่ 1 พฤษภาคม 1975 หลังจากการรวมชาติโดยผู้นำโฮจิมินห์ มีชื่อเรียกเมืองอย่างเป็นทางการว่า Thành phố (ทั่น โฟ้=เมือง) Hồ Chí Minh ชื่อย่อว่า TP.HCMC ในภาษาอังกฤษว่า Ho Chi Minh City ชื่อย่อว่า HCMC ชื่อตามภาษาฝรั่งเศสว่าHô Chi Minh Ville ชื่อย่อว่า HCMV แต่ชาวเวียตนามโดยทั่วไปก็ยังคงเรียกเมืองนี้ว่า Sài GònหรือSaigon
Saturday, October 27, 2007
พระสงฆ์และการเมือง

"ผมยังคงเห็นภาพอย่างนี้ในครั้งต่อต่อมา แต่คงเทียบกับคราวนั้นไม่ได้ เปลวไฟที่ลุกท่วมร่างชายคนหนึ่ง เผาร่างกายค่อยๆแห้งหดลง ศรีษะดำไหม้จนเป็นตอตะโก อากาศทั่วบริเวณคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเนื้อย่าง แต่ที่น่าประหลาดก็คือร่างของท่านถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วมาก ด้านหลังของผมนั้นระงมไปด้วยเสียงสะอื้นของชาวเวียตนามในขณะนั้นพร้อมๆกัน ทำให้ตัวผมเองนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สับสนงุนงงจนไม่รู้ว่าจะบันทึกอะไรหรือสัมภาษณ์อะไร หัวสมองมันเคว้งคว้างไปหมด...ตอนที่ร่างท่านถูกเผา ท่านไม่ขยับตัวเลยสักนิด ไม่ส่งเสียงร้อง ความสงบนิ่งของท่าน ช่างตรงกันข้ามกับผู้คนรอบข้างท่าน ที่กำลังร้องไห้ระงม"
พระท่านนี้ต่อต้านและประท้วงวิธีการบริหารตามแนวทางของประธานาธิบดี Ngô Đình Diệm ที่กดขี่ข่มเหงชาวพุทธ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความแตกสามัคคีในหมู่ชาวเวียตนามด้วยกันและฆ่ากันเอง

หลังจากท่านมรณกรรม ร่างท่านนั้นก็ได้ถูกเผาจนหมด แต่แปลกที่เหลือเพียงหัวใจของท่านนั้นที่ยังอยู่ เป็นสิ่งที่เชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ และได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธนาคารเวียตนาม
ส่วนท่านผู้หญิงNhuซึ่งเป็นภริยาประธานาธิบดีขณะนั้นได้กล่าวอย่างยกย่องเกี่ยวกับการกระทำว่าเธอควร"ต้องขอปรบมือล่วงหน้าให้พระรูปอื่นๆที่จะมาแสดงการย่างบาบีคิวให้ดูอีก"(นี่เป็นชนวนที่จะก่อให้เกิดการเลียนแบบต่อต่อมาและทำลายความมั่นคงภายในรัฐบาล) จากคำพูดของเธอ ทำให้เธอได้รับฉายาว่า "Dragon Lady(หญิงเหล็ก)"
มีกลุ่มวงนักน้องเพลงร๊อคชาวสหรัฐที่ต่อต้านโรงงานจักรกลใช้รูปพระเผาตัวเองประท้วง บนปกอัลบั๊มตนเองเมื่อปี 1992 และปี 1989 บนปกอัลบั๊มกลุ่มนักร้องชาวแคนาดา เดเลเนี่ย
ที่มา::Wikipedia
Wednesday, October 24, 2007
หลายสะพานที่ไซง่อน

โฮจิมินห์คงจะเป็นเหมือนอย่างในหลายหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ราบลุ่มแม่น้ำ เมืองที่มีเครือข่ายสายน้ำที่มารวมกัน จึงเป็นสาเหตุของการที่ต้องมีสะพานสำหรับการเดินทาง
ตามสถิติแล้วในไซง่อนมีอยู่มากมายหลายสะพานด้วยกัน จำนวนเท่าไรก็แล้วแต่แหล่งข้อมูล แต่เป็นที่เข้าใจว่าได้มีการสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ แต่กล่าวกันว่ามีมากกว่า 350 สะพาน หลากหลายช่วงความยาว รวมแล้วโดยเฉลี่ยแล้วยาวกว่า 17 กม.
สะพานส่วนมากถูกสร้างก่อนปี 1975 ซึ่งตอนนั้นเวียตนามยังไม่แยกเหนือใต้ โดยส่วนมากเป็นสะพานขนาดใหญ่ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวไซง่อนที่ดี ในขณะนั้นอันเป็นเวลากว่าทศวรรษ
สะพาน Cu Mong เป็นสะพานที่ล้ำสมัยแห่งแรกของเมือง ได้รับการออกแบบอย่างอย่างเหมาะสมมีระบบรูปแบบ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างสองปี 1893-1894 เชื่อมเขตหนึ่งและเขตสี่ ข้ามตลิ่งBen Nghe ด้วยความยาวกว่า 128 เมตร กว้าง 5.2 ม.ตัวสะพานโค้ง Mongเป็นคำที่ชาวบ้านเรียกว่าสายรุ้ง ด้วยตัวสะพานเองมีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่มีตอม่อ ทราบภายหลังว่าเป็นช่างชาวฝรั่งเศสในเมืองไซง่อนชุดเดียวกันกับที่ก่อสร้างหอEiffel เมื่อปีที่ผ่านมาไม่นานมานี่เอง ได้มีการสร้างอุโมงค์ขนส่งThu Thiem ลอดใต้แม่น้ำไซง่อน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้สะพานนี้อีกต่อไป เมื่ออุโมงค์นี้แล้วเสร็จ
แต่ยังมีนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มกล่าวว่า สะพานCu Son ถูกยกว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่กว่าของเมือง ถูกสร้างเมื่อปลายศตวรรษที่19 ในที่ที่ได้มีการปลูกต้นยางจึงเป็นที่มาของชื่อสะพาน สะพานนี้ยาว 19 ม.กว้าง11 ม. ปัจจุบันอยู่บนเส้นทางถนน Xo Viet Nhge Tinh เชื่อมชุมชน25 และ 26 เขตBinh Thanh
ก่อนที่เวียตนามจะรวมชาติกัน สะพาน Binh Loi เป็นสะพานอาถรรพ์ สำหรับคนที่สิ้นหวังในชีวิตมักจะมา กระโดดน้ำฆ่าตัวตายในแม่น้ำไซง่อน ตามประวัติแล้วมีความสำคัญตรงที่เป็นสะพานเดินเรือเข้าออกเมืองเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1902 โดยข้าหลวงฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาสะพานจะมีอดีตที่ไม่ดี แต่ปัจจุบันมันยังคงเป็นเสมือนประตูสู่เมืองโฮจิมินห์ โดยเป็นสะพานรับการเดินทางสำหรับทางรถไฟ
สะพานอีกแห่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือสะพาน Cu Chu Y มีรูปร่างเหมือนตัว Y ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1938-1942 เชื่อมระหว่างสี่ตลิ่งอันได้แก่ Ben Nghe,Tau Hu,Kenh Doiและ Kenh Te เชื่อมเขตห้า เขตแปด และบางส่วนในเขตเจ็ด ว่ากันว่าเป็นสะพานขนส่งทางเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างเขตห้าที่ร่ำรวย(เจอะเลิ้น=ไชน่าทาวน์) และเขตแปดที่ยากจนเข้าหากัน
ส่วน สะพานBinh Trieu IและII เป็นเส้นทางออกไปยังตอนเหนือ ส่วนสะพานTan Thuan IและII เป็นเส้นทางไปทางตอนใต้ ส่วนสะพาน Binh Dien IและIIเป็นเส้นทางไปทางออกไปทางตะวันตก ทุกสะพานที่กล่าวถึงนั้น มีบางสิ่งที่เหมือนกันคือถูกสร้างขึ้นเป็นสะพานคู่โดยสะพานคู่ที่สร้างนั้นได้ถูกสร้างภายหลังการรวมชาติ
อย่างไรก็ตามถ้านับความยาวและมีชื่อเสียงของเมืองคงไม่พ้นสะพานไซง่อน ที่เชื่อมถนนDien Bien Phu เขตBinh Thanh ออกถนนหลวงฮานอยเขตสอง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Johnson-Drake and Pipe จากสหรัฐ เมื่อพฤศจิกายน ปี 1958-มิถุนายน 1961มี 22 ช่วงรวมแล้วยาวกว่า 1,010 ม.ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้มา มันยังคงเป็นประตูสำคัญในการเข้าสู่เมือง
ในปี 1998 สะพานไซง่อนได้รับการปรับปรุงด้วยวงเงินสนับสนุนงบประมาณจากฝรั่งเศส ว่าจ้างบริษัทฝรั่งเศสPreyssinet ที่เคยสร้างสะพาน Chu Y ทำการขยายความกว้างสะพานจาก 19.63 ม. เป็น 24 ม.
สะพานใหญ่ต่อไปในไซง่อนคงจะไม่พ้นสะพาน Thu Thiem ที่เชื่อมต่อเขตเมืองตอนในกับเขตชานเมืองเศรษฐกิจใหม่Thu Thiem เขตสอง ด้วยความยาวสะพานที่ยาวกว่าสะพานไซง่อนถึง 1,250 ม. ห้าช่วงช่วงละ370 ม. กว้าง 28 ม.
สะพาน Thu Thiem นี้คาดว่าจะเปิดตัวปลายปีนี้ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากความล่าช้าจากหลายสาเหตุ คงทำให้สะพานแห่งนี้ ช่วยยกระดับศักยภาพของริมฝั่งริมตลิ่งของแม่น้ำไซง่อนต่อไป
Saturday, September 8, 2007
Black Hole Part I

เคยถามสาวๆพวกนี้เหมือนกันส่วนมาก มักจะคิดว่าคนต่างชาติเป็นเอดส์(=สีดา) เพราะตอนนั้นเป็นกันเยอะมาก อาจเป็นที่การศึกษาและอายที่จะใช้ถุงยางป้องกัน การกอดจูบลูบคลำก็เป็นการคลายเครียดกันสำหรับคนหนุ่มสาวที่นั่นอย่างถ้าจะเลยเถิดไปกว่านั้นก็แล้วแต่ จะเข้าโรงแรมก็ตังค์มีน้อยอาศัยสวนสาธารณะจอดมอไซต์จู๋จี๋กันจะประหยัดกว่า ผมจึงไม่แปลกใจที่เห็นบรรยากาศอย่างนี้เป็นเรื่องปกติของคนที่นั่นเมื่อตอนนั้น มีคนเคยบอกว่ามีอาชีพที่นิยมสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนจบอะไรมาก็คือถ้าไม่เปิดร้านกาแฟ ก็ร้านเสริมสวย สาวกลางคืนหลายคนฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจแบบนี้เฝ้าเก็บเงินยามอายุมากอย่าง 23 ปีขึ้นไป ก็ถือว่าแก่แล้วขายออกยาก (เพราะส่วนมากเริ่มมาทำธุรกิจกลางคืนก็เริ่มอายุ16ปีขึ้นไป) อายุมากก็หันมาทำงานส่วนตัว แต่ก็มีน้อยรายที่ประสบความสำเร็จ เพราะส่วนมากจะขาดความรู้ความอดทนสู้ทำงานกลางคืนที่หาเงินง่ายกว่า และหาทางออกโดยการแต่งงานกับคนต่างชาติ โดยจะชวนฝ่ายชายไปเที่ยวที่บ้านนอกพบพ่อแม่ นี่เป็นวงจรที่ได้พบเห็นมา ร้านกาแฟก็มีบ้างที่แอบแฝงประกอบการค้าประเวณี อย่างกาแฟอม ก็เช่นกัน บางที่ก็หนักกว่าเรียกว่า กาแฟ เตร็น เหยิ่ง(=กาแฟบนเตียง) อันนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟแล้วกอดอย่างเดียว แต่ได้ร่วมนอนด้วย ตอนนั้นผมได้อ่านพบในหนังสือพิมพ์ที่นั่น ก็เลยสอบถามเพื่อนเวียตดู เขาบอกว่าส่วนมากจะมีแถวต่างจังหวัด รอบนอกเมือง ทางการก็กวดขันจับกุมเพราะผิดกฎหมาย หรืออาจจะไม่จ่ายให้ถูกกฎมากกว่า ถ้าจ่ายก็ไม่มีปัญหา อย่างโรงแรมไม่ว่าจะพาเพื่อนชายหรือหญิงถ้าเป็นคนต่างชาติ ก็ต้องแยกห้อง เราต้องจองสองห้องไม่งั้นทางโรงแรมไม่ยอมให้พัก เพราะเขาต้องหนีบเอาบัตรประชาชนของสาวกับเราแยกกันและยังมีขั้นตอนยุ่งยากอีก เอาไว้เล่าต่อคราวหน้านะครับ
Sunday, September 2, 2007
Farmer Revolution
บันทึกจากท้องถิ่น
เห็นเวียดนามผ่านกบฏชาวนา กวางจุง [QUANG TRUNG]วีรบุรุษผู้รวมชาติ
โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ

สําหรับ กษัตริย์กวางจุง [QUANG TRUNG ] หรือ[Nguyen Hue] ( พ.ศ.2295-2335) ผู้เติบโตที่หมู่บ้านไตเซินในจังหวัดเหงียบินห์ ทางภาคกลางของเวียดนามเป็นพี่ชายคนที่สองของสามพี่น้องคือ เหวียน ธัค, เหวียน เว้ และเหวียน ลู ซึ่งเป็นหญิง [Nguyen Nhac, Nguyen Hue, and Nguyen Lu] ผู้นําในการปฏิวัติจากราชวงศ์เหวียนผู้ครอบครองแผ่นดินทางตอนใต้ของเวียดนาม ในปี พ.ศ.2328 ซึ่งเทียบได้กับช่วงเริ่มราชวงศ์จักรีที่กรุงเทพฯ พี่น้องไตเซินเข้ายึดเมืองหลวงไซง่อนและเริ่มการต่อต้านกลุ่มราชวงศ์ตรินห์ซึ่งครอบครองแผ่นดินทางเหนือเหวียน เว้ มีคําขวัญเพื่อต่อสู้คือ ฟื้นฟูราชวงศ์ลี้ ทําลายราชวงศ์ตรินห์ ภายหลังขึ้นครองราชย์ในชื่อ กวางจุง ตั้งเมืองหลวงที่เว้และส่งบรรณาการให้จีน ทําให้รัฐเป็
นปึกแผ่น ปรับปรุงการทหาร ปฏิรูปที่ดิน และเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับตะวันตก ฟื้นความรู้สึกรักชาติเป็นอิสระ วางแผนประเพณีราชสํานักแทนที่แบบจีนฮั่น แต่เขาตายอย่างกะทันหันในพ.ศ.2335 ขณะมีอายุเพียง 39 ปี ลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบจึงไม่สามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจัดสร้าง พิพิธภัณฑ์กวางจุง ที่หมู่บ้านไตเซิน บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลเหวียน พิพิธภัณฑ์สร้างในปี พ.ศ.2522 จัดแสดงร่องรอยของชีวิตและผลงานกษัตริย์กวางจุงเมื่อเกิดกระแสการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ไตเซินและพื้นที่ใกล้เคียง วีรกรรมการสู้รบของเหวียน เว้และพี่น้อง รวมทั้งภาพจิตรกรรมชิ้นหนึ่งที่ถือว่าเป็นวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของสองประเทศคือสยามและเวียดนามเป็นภาพเรือพายอนันตนาคราชซึ่งเสมือนสัญลักษณ์ของกรุงสยาม ที่เรารับรู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ส่งทัพเรือไปช่วยรบ ถูกกองเรือท้องถิ่นตีแตกพ่ายทําลายในน่านน้ำทะเลเวียดนาม อันเป็นการบ่งถึงประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของผู้เฝ้ามองจากภายในซึ่งอาจจะผิดหรือถูกในข้อเท็จจริงก็ได้ แต่ที่สําคัญคือ ภาพเขียนเหล่านั้นได้ทําหน้าที่แสดงออกอย่างเงียบๆ ในการกระตุ้นความรักชาติให้ก่อเกิดแก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวเวียดนามทั้งหลายและนอกจากนี้ พื้นที่บริเวณโดยรอบนอกจากอนุสาวรีย์กษัตริย์กวางจุงนําทัพซึ่งอยู่ด้านหน้าแล้ว ข้างๆ อาคารพิพิธภัณฑ์คือศาลเจ้าของตระกูลเหวียนและอนุสรณ์ที่รําลึกอื่นๆ เช่น ต้นมะขามอายุกว่าสามร้อยปี บ่อน้ำ สวนส้มของเหวียน เว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นไม้ต้องใช้การจัดแสดงแต่อย่างใด ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ก็เพื่อให้เห็นชีวิตคนธรรมดาที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีอภินิหารเหนือมนุษย์ เพราะนี่คือกษัตริย์ชาวบ้านที่แข็งแกร่งพอจะเป็นผูนําการปลดปล่อยชาวนาที่ทุกข์ยากซึ่งเป็นผู้คนพื้นฐานของประเทศและสามารถรวมชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวการยึดครองเวียดนามจนกลายเป็น "อินโดจีนของฝรั่งเศส" ระหว่าง พ.ศ. 2401-2483 และการเข้ายึดครองโดยญี่ปุ่นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกว่า 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2483-2488 จนกระทั่งเกิด "สงครามอินโดจีน" เพื่อต่อต้านการกลับเข้ามาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2488 - 2499 ทําให้เวียดนามต้องกลายเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีสงครามยืดเยื้อยาวนานและไม่จบสิ้น การเอาชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูสําเร็จนําไปสู่การเจรจาสงบศึก จากสงครามนี้เวียดนามถูกแบ่งแยกออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่บริเวณเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ

ผู้นําสําคัญอีกท่านหนึ่งของเวียดนามคือ "โฮจิมินห์" เลือกที่จะใช้ระบบสังคมนิยมแก่เวียดนามเหนือหรือเวียดมินห์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่พยายามทําอย่างเดียวกับกษัตริย์กวางจุง นั่นคือการรวมเวียดนามและสิ่งที่ประสงค์ที่สุดคือ "เวียดนามต้องเป็นหนึ่งเดียว"ความพยายามรวมชาติของ "ลุงโฮ" ยังไม่เป็นผลสําเร็จ จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาขยายการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย สงครามเวียดนามจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หนักหนาและปวดร้าวเกินกว่ามนุษย์จะกระทําต่อมนุษย์ด้วยกันเมื่ออเมริกาแพ้สงครามถอนทัพกลับไป เวียดนามยังคงทําสงครามเพื่อต่อต้านการเข้ามาของเขมรแดงตามแนวชายแดนจึงมีการบุกเข้าไปในกัมพูชา จนถึงปัจจุบัน เวียดนามเริ่มฟื้นจากสงครามอันยาวนาน พยายามสร้างความปรองดองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลากหลายแก่ผู้คนมากกว่า 50 ชาติพันธุ์ และในที่สุดก็เริ่มรับระบบและค่านิยมบางอย่างจากตะวันตกอย่างช้าๆในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเวียดนาม กษัตริย์กวางจุง ผู้นํากบฏไตเซินคือวีรบุรุษชาวนาผู้รวมประเทศเวียดนามได้ครั้งแรกอย่างแท้จริง ส่วนลุงโฮ หรือโฮจิมินห์ ผู้ที่ชาวเวียดนามทุกคนต้องมีรูปท่านประดับบ้านไว้เสมอคือผู้พยายามรวมชาติเวียดนามคนต่อมาจากประสบการณ์ของการถูกกดขี่และความแตกแยกภายในชาติโดยถูกรุกรานจากผู้อื่น สิ่งที่ชาวเวียดนามตระหนักก็คือวีรบุรุษย่อมคู่กับความรักชาติเสมอและวีรบุรุษของเวียดนามนั้นแสวงหา "อิสรภาพ เสรีภาพ และความสุข"หรือ Độc lập – Tự do – Hạnh phúc=ดอบ หลับ ตื่อ ยอ หั่น ฟุ๊ก อันเป็นอุดมคติอันสูงสุด เป็นคำขวัญของประเทศ และในหนังสือราชการ หัวบรรทัดแรกเขาจะใส่คำขวัญนี้ทุกครั้งเสมอ
ที่มา:http://www.lek-prapai.org
Sunday, August 26, 2007
How Come Saigon Part I

ต่อมาใน ปี คศ. 1921 หอแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงโดยเนื่องจากสาเหตุที่ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแบบแปลนทางสถาปัตยกรรม และรายการประกอบแบบการก่อสร้างที่สูญหาย เดิมต้นฉบับแบบแปลนนั้นเอามาจากกรมทหารเรืออังกฤษ แบบได้ถูกส่งไปให้ผู้ว่าการทำเนียบรัฐบาล ส่งต่อไปยังรัฐมนตรีสาธารณสุข สุดท้ายไปยังหน่วยงานท้องถิ่น เป็นไปได้ว่าได้สูญหาย เสียหายจากการขนส่ง หรืออาจถูกมอดปลวกทำลายในห้องเก็บพัสดุ เหตุหลักน่าจะเป็นโครงสร้างที่แตกหักจนเกินที่จะซ่อมแซม แบบแปลนที่สูญหายไป การกักเก็บน้ำประปาไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น คงเป็นอย่างนั้นมากกว่า
หลังจากที่หอนี้ได้ถูกทุบทิ้ง จนในปี คศ.1927 สภาเทศบาลเมืองไซง่อนได้ทำเป็นถนนวงเวียนตั้งชื่อว่า Marechal Joffre Square เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ระลึกถึงการสูญเสียในสงครามโลกปี 1914-1918
ต่อมาในปี 1972 รัฐบาลเวียตนามใต้ได้กลับมาบูรณะแยกดังกล่าวเพื่อเป็นที่ระลึกถึงความร่วมมือของนานาประเทศที่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเวียตนามใต้ในขณะนั้น โดยกลางน้ำพุนั้น เป็นเสาสูง20เมตรห้าต้น เปรียบเหมือนความร่วมมือห้าพันธมิตรดั่งต้นปาล์มห้าต้นค้ำชูลูกโลก ข้างๆเสาทั้งห้าจะเป็นหลังคาทรงหลังเต่าทำด้วยทองแดง โดยด้านบนจะมีแผ่นหินจารึกประเทศพันธมิตรที่ช่วยเหลือเวียตนามใต้ในขณะนั้น(คิดว่าคงมีประเทศไทยด้วยนะ เพราะเราก็ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือเขาในขณะนั้น) รวมทั้งมีบันไดสามสิบขั้นโดยมีชานพักบันไดทุกสิบขั้น ทางด้านใต้ของสระน้ำพุถูกยกพื้นเป็นแท่นสูงขึ้นห้าเมตร เพื่อแยกเป็นส่วนของสววรค์และโลกมนุษย์ ซึ่งต่างจากแท่นบวงสรวงของ Nam Giao ที่เมืองเว้(Hue) โดยรูปทรงของแท่นที่ยกสูงนี้จะกลมก็ไม่เชิงเหลี่ยมก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นทรงรี สองแกนสิบสองเมตรและเจ็ดเมตร แท่นนี้รับโดยเสาเดี่ยว มีเสาแปดต้นล้อมรอบ บนแท่นจะแท่นบูชาสูงหนึ่งเมตรหันไปทางด้านเหนือ
เมื่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่ได้ส่งมอบงานเนื่องจากชาวเมืองไซง่อนรู้สึกว่าเสาห้าต้นที่แบเหมือนมือที่ขอความช่วยเหลือ ทำให้ไม่เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเมือง ดังนั้นรัฐบาลจึงทำการดัดแปลงเสาและมือดังกล่าวด้วยการเปลี่ยนเป็นรูปกลีบดอกไม้ยี่สิบห้าแฉก จนเป็นโครงสร้างดังได้เห็นในปัจจุบัน
ต้นเดือนเมษายนปี 1976 หรือหลังจากเมืองไซง่อนถูกปฏิวัติ วงเวียนดังกล่าวได้ถูกลอบวางระเบิดเมื่อประมาณ สองทุ่ม มีชายหนุ่มเสียชีวิตหนึ่ง อีกสี่คนบาดเจ็บ หลังคาทองแดงหลังเต่าเสียหาย โดยทางตำรวจสรุปว่าเป็นการก่อวินาศกรรมล้มรัฐบาลของชายหนุ่มดังกล่าว ที่ตั้งระเบิดไดนาไมค์ไว้บนหลังเต่านั้นเอง
ต้นเดือนเมษายนปี 1976 หรือหลังจากเมืองไซง่อนถูกปฏิวัติ วงเวียนดังกล่าวได้ถูกลอบวางระเบิดเมื่อประมาณ สองทุ่ม มีชายหนุ่มเสียชีวิตหนึ่ง อีกสี่คนบาดเจ็บ หลังคาทองแดงหลังเต่าเสียหาย โดยทางตำรวจสรุปว่าเป็นการก่อวินาศกรรมล้มรัฐบาลของชายหนุ่มดังกล่าว ที่ตั้งระเบิดไดนาไมค์ไว้บนหลังเต่านั้นเอง
ปัจจุบันนี้ แม้จะไม่มีเต่าอยู่ที่นั่น แต่ชื่อวงเวียนน้ำพุหลังเต่ายังคงอยู่ มีชีวิตชีวายามค่ำคืน รอบๆมีทั้งค๊อฟฟี่ชอ๊ป ขายของที่ระลึก ร้านรวงต่างๆมากมาย ขึ้นชื่อเรื่องไอศครีมโดยเฉพาะรสกะทิ บริเวณรอบนอกน้ำพุมีต้น โอ๊ค(golden oak) จำนวนมาก มีอายุนับหลายปี ผลของมันจะมีปีกสองข้างเวลาร่วงจะหมุนควงลงมาช้าๆลงดิน ในช่วงฤดูดอกไม้บาน มันจะส่งกลิ่นหอมหวลเวลาผ่านบริเวณนี้
ที่มา:Saigon Times(EN)
Vietnamese Alphabet
ภาษา คำในภาษาเวียดนามกว่า 80% ของภาษามาจากภาษาจีน และยังรวมไปถึงอิทธิพลทางวรรณคดีจีน และยังมีร่องรอยของภาษาฝรั่งเศสด้วย คำที่เข้ามาในพจนานุกรมเป็นครั้งแรกในสมัยจักรวรรดินิยมช่วงศตวรรษที่ 18 ถึง 20 ส่วนภาษาอังกฤษนั้นมาจากชาวอเมริกันในช่วงสงครามเวียดนาม และจากการเป็นพี่น้องร่วมลัทธิคอมมิวนิสต์กับสหภาพโซเวียต เวียดนามก็ได้รับอิทธิพลทางภาษาจากรัสเซีย เพื่อนเวียตเล่าว่าเขาจบจากฮานอยอาจารย์ที่สอนเขาส่วนมากจบจากรัสเซีย แต่ว่าถ้าเป็นอาจารย์รุ่นใหม่จบจากอเมริกา เวลาสอนหลักสูตรจะต่างกัน ทำให้ยังคงเป็นปัญหาทางวิชาการเกี่ยวกับมาตรฐานการศึกษาโดยเฉพาะเกี่ยวกับวิศวกรรมในเรื่องของการอ้างมาตรฐานมาใช้ยืนยัน เท่าที่ทราบได้มีการรวบรวมตั้งมาตรฐานแล้วเรียกว่า TCVN คนที่จะไปทำงานเกี่ยวกับตรงนี้ต้องศึกษาให้ดี แต่ส่วนมากเท่าที่อ่านดู จะคล้ายกับ JIS(ญี่ปุ่น) ดังนั้นวิชาการของเราก็ใกล้เคียงกันใช้กันได้ มาว่าเรื่องภาษากันต่อซึ่งความจริงแล้วความหมาย และคำศัพท์เฉพาะทางวิชาการต่าง ๆ ของแนวคิดและเทคโนโลยีสมัยศตวรรษ ที่ 20 มักใช้คำภาษา ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย และภาษาที่เข้ามาล่าสุดคือภาษาญี่ปุ่น ถ้าเป็นทางใต้ภาษาฝรั่งเศสก็ยังคงนิยม แต่จะสู้ภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนเกาหลี และญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นเช่นกันตามภาวะการลงทุน สำเนียงที่แตกต่างกันในเวียดนามนั้น เผยให้เห็นถึงเอกลักษณ์ที่เหนียวแน่นของภูมิภาค ตัวอักษรบางตัวของพยัญชนะ ออกเสียงต่างกัน ศัพท์ของชาวเหนือและชาวใต้ประกอบด้วยคำที่แตกต่างกัน รากของภาษามาจากการผสมของวัฒน ธรรมที่คล้ายคลึงกัน คือการผสมของ เขมร ไท และเมือง แม้แต่การวางรูปประโยคก็ยังเหมือนกัน
ภาษาเขียนของเวียดนาม : อิทธิพลของจีนในช่วงศตวรรษแรกๆ ของประวัติศาสตร์เวียดนามทำให้มีการใช้ตัวอักษรที่เรียกกัน ว่าจื๋อ โย (chu nho) อย่างกว้างขวางจนแทนที่ภาษาเขียนโบราณที่มีต้นกำเนิดจากภาษาอินเดีย หลังจากได้อิสรภาพ บรรดานักปราชญ์ต่างตระหนักถึงความจำเป็นและประโยชย์ของการพัฒนาภาษาเขียนที่เป็นของเวียดนามขึ้นมา ผู้ที่ทำได้สำเร็จ คือ เหวียน เทวียน (Nguyen Thuyen) ทุกวันนี้เวียดนามมีตัวอักษรแบบโรมัน อันเป็นผลงานของ อเล็กซองเดร เดอโรดส์ (Alexandre de Rhodes) มิชชันนารีเยซูอิตชาวฝรั่งเศส ผู้ซึ่งได้พัฒนาตัวอักษรที่เรียกกันว่า กว๊อก หงือ (quoc ngu)

ที่มาhttp://www.surinmajestic.net
Saturday, August 18, 2007
VietKieu(Yuan) in Thailand Part III

ลักษณะเด่นของชาวเวียดนาม คือ เป็นกลุ่มคนที่มีความขยันขันแข็งและมีความอดทนเป็นพิเศษ แม้คนจีนก็ยังยอมรับว่าคนญวน มีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพมากว่าตน ในเรื่องน้ำอดน้ำทนของคนญวนไม่มีชาติใดในเอเชีย ที่เหนือกว่าคนญวน การที่คนญวนสามารถทนทำสงครามต่อสู้กับสหรัฐอริเมริกาเป็นเวลานานนับ 10 ปี ทั้งๆ ที่ประเทศของตนประสบกับความเสียหายอย่างยับเยิน จากการโจมตีที่ทิ้งระเบิดของสหรัฐ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างดีถึงความอดทนของคนญวน เมื่อคนญวนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ตั้งหน้าทำมาหากิน ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยในระยะนั้น ได้ให้อุปการะช่วยเหลือ ทำการจัดสรรแบ่งที่ดินให้ทำกิน และให้ยืมทุนในการประกอบอาชีพรวมทั้งปล่อยให้ทำมาหากินโดยอิสระเสรี ไม่มีการกีดกั้นหรือหวงห้ามแต่อย่างใดจึงเป็นผลให้คนญวนสามารถสร้างฐานะความเป็นอยู่ ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดคนญวนก็สามารถสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของตนให้เหนือกว่าคนไทยในชุมชน
คนญวนประกอบอาชีพเกือบทุกประเภท นับแต่ด้านการเกษตร การช่างฝีมือต่าง ๆ เช่น ช่างไม้ ชางเหล็ก ช่างกลึง ช่างนาฬิกา ช่างไฟฟ้าวิทยุ ช่างเย็บเสื้อผ้า ช่างเครื่องยนต์ ต่อตัวถังรถยนต์ อาชีพค้าขายทุกชนิด การประมง การแพทย์ ถ่ายรูป การค้าขายในตลาดสด เป็นต้น ด้วยความขยันหมั่นเพียร และการมีน้ำอดน้ำทน สามารถประกอบอาชีพได้ทุกชนิดโดยไม่มีการรังเกียจ ผลจึงปรากฎว่า ชุมชนใดที่มีกลุ่มชาวญวนอยู่ อิทธิพลทางเศรษฐกิจจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่
ด้านสังคม ในท้องถิ่นที่มีคนญวนอาศัยอยู่ คนญวนจะรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น คบค้าสมาคมเฉพาะคนญวนด้วยกัน สรุปแล้วในด้านสังคมส่วนมากคนญวน แสดงออกโดย
(1) ใช้เวลาว่างเล่นกีฬาทุกชนิด กีฬาที่นิยมเล่นได้แก่ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล เป็นต้น จุดประสงค์ของการเล่นกีฬา ก็เพื่อปลูกฝังความสามัคคี ในหมู่คนญวน
(2) จัดงานแสดงออกซึ่งพลังแห่งความสามัคคี ในวันสำคัญของตน เช่น วันเกิดโฮจิมินห์ วันชาติเวียดนาม เป็นต้น เพื่อปลูกจิตสำนึกให้รักชาติ รักและบูชาโฮจิมินห์
ฉะนั้นสังคมโดยสรุปแล้ว ชาวญวนต้องการมีอิสระเสรีที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับที่ทางการกำหนดไว้ สำหรับคนญวนอพยพ และชาวญวนส่วนมากไม่ต้องการเดินทางกลับเวียดนาม ถึงจะรักภักดีต่อประเทศเวียดนามก็ตาม สาเหตุเพราะ ในระยะหลัง ได้มีญวนรุ่นใหม่เกิดขึ้น ญวนกลุ่มใหม่นี้ไม่เห็นประเทศเวียดนามมาก่อน ความ รู้สึกผูกพันในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของบิดามารดา ก็ย่อมไม่แน่นแฟ้นเหมือนญวนรุ่นเก่า และชาวญวนยังเคยชินต่อระบบเศรษฐกิจแบบเสรี มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อเทียบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนญวนในเวียดนาม จึงไม่ปรารถนาที่จะกลับเวียดนามและพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย
การศึกษาสูง ๆ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ญวนต้องการมีสัญชาติไทย เด็กญวนที่เกิดในเมืองไทย ทางราชการได้ผ่อนปรนให้เข้าเรียนในระดับต้นๆ ในท้องถิ่นที่ญวนอาศัยอยู่ แต่การศึกษาในระดับสูง ๆ นั้น มีปัญหาเพราะต้องใช้หลักฐานหลายอย่างที่คนญวนอพยพไม่มี เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เด็กญวน ที่ต้องการเรียนต่อ ต้องหาทางให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย และอีกทางที่ทำได้ก็คือการให้คนไทยรับเป็นบุตรบุญธรรมด้วยวิธีการ ทำให้มีลูกหลานญวน ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย
ที่มาhttp://www.surinmajestic.net
Friday, August 17, 2007
VietKieu(Yuan) in Thailand Part II
ประวัติชนชาวญวน / เวียตนาม / อานัม / แกว ในประเทศไทย
ลัทธิเต๋า : เต๋า เต็ก เก็ง (Tao Te Ching) คัมภีร์แห่งมรรคและอำนาจของเต๋าเริ่มต้น ในหมู่บ้านที่มีศาสนาพุทธและขงจื้อ วิญญาณนิยม และความเชื่ออื่นๆ อยู่รวมกัน ในหมู่บ้านเหล่านี้จะมีการสร้างสถานที่สำหรับบูชาที่เรียกกันว่า เดี่ยน (dien) หรือ ติ๋งห์(tinh) ในระดับชาวบ้านเต๋าเป็นเรื่องของความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติเวทมนตร์คาถาและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยอาคม
ในอดีต ชาวเวียดนาม เข้ามาอาศัยในประเทศไทยมีสถานะเป็น“ญวนอพยพ” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันชาวเวียดนามเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องจากรัฐไทย และกลายมาเป็นสะพานทางวัฒนธรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ไม่ว่าจะในด้านภาษาโดยการเป็นครูสอนภาษาเวียดนามให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการไทย และ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการเวียดนามที่เดินทางมาเรียนภาษาในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดในภาคอีสาน นอกจากนี้ ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยังมีบทบาทในการเป็นผู้ประสานงาน เป็นล่ามให้แก่หน่วยงานราชการและเอกชนไทยและเวียดนาม เป็นผู้ร่วมก่อตั้งหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนามที่บ้านนาจอก จังหวัดนครพนม และบ้านโห่จี๋มิงห์ ที่บ้านหนองโอน จังหวัดอุดรธานี อีกทั้ง มีบทบาทในการเผยแพร่วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย การเผยแพร่อาหารเวียดนาม เป็นต้น
การบูชาบรรพบุรุษ : ภายในบ้านของคนเวียดนาม และภายในวัดทุกแห่งจะพบแท่นบูชาบรรพบุรุษการบูชา
บรรพบุรุษยังคงมีความสำคัญทางสังคมและศิลธรรมอย่างสูงในสังคมเวียดนาม ในวันครบรอบวันตาย และวันเทศกาลตามประเพณีต่างๆ ญาติของผู้ตายจะมาชุมนุมกันโดยลูกชายคนโตของผู้ตายจะเป็นผู้นำในการเซ่นไว้ด้วยอาหารและธูป จากนั้นคนในครอบครัวทั้งหมดจะไปที่สุสานของผู้ตาย พิธีจบลงด้วยสมาชิกในครอบครัว คุกเข่าลงหน้าแท่นบูชา ความล้มเหลวในการบูชาบรรพบุรุษของลูกหลานจะถูกมองว่าเป็นการกระทำที่แสดงถึงความอกตัญญูต่อบิดามารดา เพราะทำให้บรรพบุรุษต้องเร่ร่อนอยู่ในนรก

การบูชาในระดับหมู่บ้าน: ในทางปฏิบัติแล้วหมู่บ้านเวียดนามทุกแห่งจะมีจั่ว (chua-ที่วัด) และดิงห์ (dinh -
ศาลาประชาคม) ชาวบ้านจะบูชาพระพุทธเจ้าจั่ว ซึ่งดูแลรักษาโดยภิกษุจำพรรษาอยู่ที่นั้น ทุกวันที่ 1 และ 15 ค่ำชาวบ้านจะไปที่จั่ว โดยนำดอกไม้ธูปเทียนและผลไม้ไปถวายพระพุทธ และประกอบพิธีที่วัดในตอนเย็นของวันที่ 14 และ 30 ของเดือนเพื่อแสดงความเสียใจในสิ่งที่ไม่ดีที่ได้กระทำลงไป และปฏิญาณว่าจะประพฤติในสิ่งที่ดีการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในระดับหมู่บ้านจะไม่เหมือนกับของเซน เป็นการผสมผสานระหว่างเซนกับอมิตาภะ เป็นที่เชื่อกันว่าอมิตาภะจะได้สภาวะแห่งพุทธภายใต้เงื่อนไขพิเศษที่ท่านได้ต้อนรับคนทุกคนที่เรียกชื่อท่านอย่างจริงใจเวลาตาย และจะนำพวกเขาไปยังสวรรค์

ศาสนาพุทธ :ได้รับการเผยแพร่เข้ามาจากอินเดียและจีน กว่าพันปีแล้ว ผู้เชียวชาญในสาสนาพุทธชาว
เวียดนามคนหนึ่งถูกส่งตัวไปยังราชสำนักญี่ปุ่นเพื่อสอนบทเพลงทางสาสนาซึ่งปรากฏลัทธิ 2 ลัทธิ คือ อาอาม (A -HAM, Agaham ) และเทียน (Thien) ต่างแข่งขันกันอย่างสันติภาพในหมู่ผู้เลื่อมใสศรัทธา ลัทธิเทียนเป็นลัทธิหนึ่งในศาสนาพุทธนิกายมหายาน เนื่องจากกฎเกณฑ์น้อยทำให้เป็นที่นับถือกันมาก

ลัทธิขงจื้อ: ลัทธิขงจื้อมีอายุยืนยาวมากกว่าระบบความเชื่ออื่นใด ทั้งในโลกตะวันออก และตะวันตก ลัทธินี้มีพื้นฐานมาจากคำสอนของขงจื้อซึ่งเกิดในราวปีที่ 55๐ ก่อนคริสต์กาล และอยู่ในยุคที่จีนมีความวุ่นวายทางการเมือง ขงจื้อได้ชื่อว่าเป็นผู้ชี้นำทางจริยธรรมและศิลธรรมมากกว่าที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ลัทธิขงจื้อเข้ามาสู่ชาวเวียดนามโดยผ่านชาวจีนกว่า 2,๐๐๐ ปี มาแล้ว
ลัทธิเต๋า : เต๋า เต็ก เก็ง (Tao Te Ching) คัมภีร์แห่งมรรคและอำนาจของเต๋าเริ่มต้น ในหมู่บ้านที่มีศาสนาพุทธและขงจื้อ วิญญาณนิยม และความเชื่ออื่นๆ อยู่รวมกัน ในหมู่บ้านเหล่านี้จะมีการสร้างสถานที่สำหรับบูชาที่เรียกกันว่า เดี่ยน (dien) หรือ ติ๋งห์(tinh) ในระดับชาวบ้านเต๋าเป็นเรื่องของความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติเวทมนตร์คาถาและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยอาคม
ศาสนาคริสต์ : ชาวเวียตนาม ส่วนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิค และประเทศเวียดนาม เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยศาสนา ปรัชญาและความเชื่อ แบบวิญญาณนิยมเปลี่ยนไป คาทอลิคมิช ชันนารีตะวันตก พวกแรกได้เข้ามาในตังเกี๋ยทางภาคเหนือของเวียดนาม ในปี 1533 และเข้าสู่ภาคกลางของเวียดนามในปี 1596 การเผยแพร่ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ในฮอย อัน (Hoi An) ดานัง และฮานอยโดยคณะมิชชันนารีเยซูอิตชาวโปรตุเกส การเผยแพร่ศาสนาก่อให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้กระนั้นคาทอลิค ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง 2 ด้านอย่างแรกคือ การประดิษฐ์ภาษาเขียนแบบโรมัน สองคือการนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของตรรก แบบตะวันตกเข้ามาการเปลี่ยน แปลงนี้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลขึ้นในหมู่ขุนนางและชนชั้นปกครองผู้มองว่าศาสนาใหม่เป็นสิ่งคุกคามระ เบียบสังคมแต่ดั้งเดิมและพิธีกรรมต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเชื่อเรื่องสวรรค์ และการบูชาบรรพบุรุษ
ที่มาhttp://www.surinmajestic.net
VietKieu(Yuan) in Thailand Part I

ประวัติชนชาวญวน / เวียตนาม / อานัม / แกว ในประเทศไทย
ชาวญวน หรือ ที่ชาวอีสานเรียกว่า "แกว"ชนชาติหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของประเทศจีน และทางทิศตะวันออกของประเทศลาวและ เขมรคนกลุ่มนี้ มีอุปนิสัยขยันขัน แข็งในการทำมาหากิน จนมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่นคงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในอดีตได้มีการติดต่อค้าขายกับ ชาวลาวในประเทศลาว และภาคอี สานมานานแล้วและหลังสงคราม โลกครั้งที่สอง เมืองญวนดิ้นรนที่จะเป็นอิสระจากฝรั่งเศส ญวนในภาคเหนือบริเวณเมืองเดียนเบียนฟูได้หนีภัย การเมืองเข้ามาอยู่ในภาคอีสานจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจังหวัดนครพนม สกลนคร เลย อุบลราชธานี หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ระหว่าง พ.ศ. 2489-2492 พวกนี้มักประกอบอาชีพค้าขาย และทำให้อาหารญวนบางชนิดเป็นที่นิยม เช่น ข้าวเฝอ เป็นต้น บ้านชาวญวนส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนบริเวณโคกดิน ลักษณะเหมือนเป็นเกาะเล็กๆ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังคงพูดภาษาเวียดนาม ในการสื่อสารระหว่างกลุ่ม ซึ่งอาศัยอยู่ตามอำเภอใหญ่ๆ ของจังหวัดสกล นครนั้นได้อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นกลุ่ม 4 ระยะ คือ
(1) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในสมัยอยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ ในสมัยอยุธยา ปรากฎว่ามีหมู่บ้านญวนอยู่ในกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช (2199-2231) จำนวนคนญวนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีประมาณ 5,๐๐๐-8,๐๐๐ คน โดยตั้งรกรากตามสถานที่ต่างๆ คือ อยุธยา จันทรบุรี พาหุรัด(ย้ายไปสามเสน) บางโพ จันทรบุรี สามเสน กาญจนบุรี โดยที่ชาวญวนที่นับถือคริสต์ศาสนาจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดจันทรบุรี ส่วนพวกที่นับถือพุทธศาสนาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กาญจนบุรี
(2) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด ชาวคนเวียดนามจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาอยู่ประเทศลาว ประเทศเขมร และประ เทศไทย ในประเทศไทยชาวเวียดนามอพยพเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม สกลนคร อุทัยธานี หนองคาย สุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ และปราจีนบุรี สำหรับชาวเวียดนามที่มาอาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร นั้นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยสรุปได้เข้ามา 3 จุดดังนี้
2.1 ทางสะหวันนะเขต สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด มุกดาหาร อุบลราชธานี สกลนคร หนองคาย อุดรธานี นครพนม
2.2 ทางเวียงจันทร์ สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยที่จังหวัดหนองคาย สกลนคร
2.3 ทางท่าแขก สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด นครพนม สกลนคร
2.2 ทางเวียงจันทร์ สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยที่จังหวัดหนองคาย สกลนคร
2.3 ทางท่าแขก สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด นครพนม สกลนคร
(3) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาอยู่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการสู้รบระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ ชาวเวียดนามจึงอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 48,๐๐๐ คน ซึ่ง ขจัด บุรุษพิพัฒน์ (2521) กล่าวว่า ภายหลังจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาบริหารประเทศ ในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมชาวเวียดนามอพยพ อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ 15 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์ เลย อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ซึ่งชาวเวียดนามอพยพจะอาศัยอยู่นอกเขต 15 จังหวัดนี้ไม่ได้
พ.ศ. 2493 ให้ชาวเวียดนามอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยบังคับให้เดินทางไปยังจังหวัดควบคุมใหม่ ภายใน 1 เดือน คือ หนองคาย สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี พ.ศ.2496 รัฐบาลไทยได้จัดส่งหัวหน้าชาวเวียดมนามในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม ไปไว้ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2503 อนุญาตให้ชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่กำหนดเขต 8 จังหวัด คือหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง
พ.ศ. 2493 ให้ชาวเวียดนามอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยบังคับให้เดินทางไปยังจังหวัดควบคุมใหม่ ภายใน 1 เดือน คือ หนองคาย สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี พ.ศ.2496 รัฐบาลไทยได้จัดส่งหัวหน้าชาวเวียดมนามในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม ไปไว้ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2503 อนุญาตให้ชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่กำหนดเขต 8 จังหวัด คือหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง
(4) ชาวเวียดนามอพยพที่เข้ามาอยู่ในช่วงสงคราม เวียดนามเหนือ-ใต้ เป็นกลุ่มชาวเวียดนามอพยพ ประมาณ 2,๐๐๐-3,๐๐๐ คน ส่วนใหญ่จะไปอาศัยอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ถิ่นที่อยู่เดิมชาวญวนอพยพ ที่เดินทางมาที่ประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะมาจากเวียดนามตอนกลาง และข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย ทางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ จังหวัดสะหวันนะเขต จังหวัดเวียงจันทร์ และ ท่าแขก ชาวญวนอพยพจะอยู่กระจายกันในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามหัวเมือง ในปี พ.ศ.2503 ชาวเวียดนามอพยพที่เดินทางเข้ามาที่ จ.สกลนคร นั้น มีชาวเวียดนามบางส่วน ได้กลับประเทศเวียดนามแล้วแต่ยังคงเหลือตกค้างอยู่ เนื่องจากเกิดสงครามเวียดนามเหนือเวียดนามใต้ โดยในขั้นต้นชาวเวียดนามอพยพอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศูนย์ประสานงาน กอ.รมน. และสำนักงานกิจการญวนอพยพ กำหนดให้ชาวเวียดนามอพยพเหล่านี้อยู่ในเขตควบคุม 8 จังหวัด คนเวียดนามได้รับการดูแล การจัดทำทะเบียนประวัติ การศึกษา การปลูกฝังให้มีความรู้ความเป็นคนไทย สามารถผสมผสานกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทยจนในที่สุดก็มีชาวเวียดนามจำนวนมากได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลไทยให้ได้สัญชาติไทย โดยเรียกว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” อยู่อาศัยมานานจนได้รับเชื้อชาติไทย ปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ป ระกอบอาชีพข้าราชการ นักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น มีบทบาทต่อการปกครอง และเศรษฐกิจของจังหวัด ในปี พ.ศ. 2545 คนเวียดนาม อพยพที่ได้รับสัญชาติไทยแล้ว ที่อาศัยอยู่ในเมืองสกลนคร ทั้งสิ้น 1,851 คน จากการที่ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามได้อาศัยอยู่อย่างกลมกลืนกับชาวไทยในจังหวัดสกลนคร และ จังหวัดใกล้เคียง มานาน 6๐ ปี แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งทางด้านภาษา สังคม วัฒนธรรม
ที่มาhttp://www.surinmajestic.net
Saturday, August 11, 2007
Vietnamese Martial Art Part I
ตอนที่อยู่โฮจิมินห์ ตอนช่วงเย็นผมชอบขับรถชมเมือง ช่วงตอนเย็นประมาณหกโมง ผมผ่านวัดแถวถนน Xo Viet Nghe Tinh จะไป วงเวียนห่างซัน ได้ยินเสียงการฝึกซ้อมหมัดมวยทุกคนสวมชุดสีหมากแก่ รำกระบี่ กระบอง ผมเคยเห็นเขาเรียนศิลปการต่อสู้อย่างนี้มาครั้งหนึ่งตอนขับรถผ่านไปเที่ยวแถววัดแห่งหนึ่งในเขตบินห์ยืงไม่ไกลจากที่ทำงานนิคมVSIP ผมยืนดูเขาประลองกำลังกัน ดูแล้วสนุกดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเขาเล่นอะไรกัน
Việt Võ Đạo เหวียด หว๋อ ด่าว เป็นศิลปการต่อสู้ชาวเวียตนาม โดยมากเราจะรู้จักกันในชื่อของ วูซู กันซะ
มากมากกว่า ตามความหมายแล้ว Việt=ชาวเวียตVõ=ศิลปการต่อสู้ หรือ มวยĐạo=กระบวนยุทธ หรือ Do(ซู)ในระหว่างและหลังสงครามเวียตนาม ศิลปการต่อสู้ซึ่งผมขอเรียกว่า หว๋อ ด่าว ได้แพร่หลายไปทั่วโลกตามชุมชนที่ชาวเวียตนามอาศัยอยู่ จนได้ก่อตั้งเป็น สมาพันธ์เหวียด หว๋อ ด่าว ขึ้นในเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1973 อันประกอบไปด้วยสมาคม
Việt Võ Đạo เหวียด หว๋อ ด่าว เป็นศิลปการต่อสู้ชาวเวียตนาม โดยมากเราจะรู้จักกันในชื่อของ วูซู กันซะ

-Vovinam มีสำนักในประเทศเยอรมัน
-Qwan Ki Do-Bach Hac
-Thang Long
-อื่นๆ
ศิลปการต่อสู้นี้ได้พัฒนาเสริมส่วนปรัชญาการดำรงชีวิตโดยใช้ชื่อเรียกว่า Nhan Võ Đạo (ยัน หว๋อ ด่าว) โดยศิลปการต่อสู้นี้ได้มีการประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับสรีระของชาวยุโรป ปลายปี 1980 โดยปรมาจารย์ จู ตัน เกิ่ง(Chu Tan-Cuong) ที่เมืองHalle ประเทศเยอรมัน โดยตัวท่านเองได้รับการถ่ายทอดวิชาตั้งแต่เด็กจากปรมาจารย์ เหวียน ตี้(Nguyen Ty) เจ้าสำนักเส้าหลินใต้(Shaolin Nam Hong Son) นับถึงปัจจุบันท่านเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งเชี่ยวชาญทุกแขนงติดอันดับโลก จะว่าไปแล้วหว๋อด่าวก็เป็น มวยจีนตอนใต้ อย่างที่เราดูในหนังจีนต่อสู้แบบโบราณที่บ้านเรา
ระดับของผู้ฝึก หว๋อ ด่าว มี 6 ระดับ และมีระดับเอกมากกว่าหนึ่งระดับ ผู้ฝึกจะฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่า ฝึกการต่อสู้ด้
วยพลองหรือหอก และ ดาบ ระดับสูงจะได้ฝึกหมัดมวย ดังนั้นภาพรวมของมวย จึงเป็นลักษณะของการป้องกันตนเอง หมัดมวย ฝึกลมปราณ รับแล้วรุกจากการโจมตี ส่วนการเตรียมตัวเพื่อไปสู่ระดับเอกหรือมาสเตอร์นั้น จะต้องผ่านการทดสอบปฎิภาณและไหวพริบ

สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์หยินหยาง(Âm-dương) ไม่แข็ง ไม่อ่อน อย่างต้นไผ่ รวมกันภายใต้สัญลักษณ์แปดเหลี่ยม ชาวเวียตนามให้ความสำคัญกับต้นไผ่มาก เพราะวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องเป็นทั้งอาหาร เครื่องใช้ ที่อยู่อาศัยรวมทั้งปรัญชาชีวิต
Friday, July 13, 2007
Retail Shop

เล่ามานานไม่ถึงเรื่องร้านขายปลีกซะแล้ว เอาเป็นว่าเดิมเราขอให้เพื่อนชื่อฟี ช่วยซื้อของที่ร้านโชว์ห่วยใกล้
โรงแรมเพราะเราพูดภาษาเวียตนามไม่ได้ ซึ่งบางครั้งเขารีบกลับบ้าน ทำให้ผมต้องไปซื้อกันเอง เอาล่ะ มาถึงตอนนี้ ผมต้องมั่วภาษาเวียตนามงูงูปลาปลา ต้องคิดราคาแปลงกลับไปมา ตอนนั้นค่าเงิน 400ด่องก็ 1 บาท(ตอนนี้ค่าเงินเราแข็งคงสูงกว่า)คิดในใจว่า 4000=10 บาท 10.000=25บาท ต้องคิดให้ไวตัดศูนย์สามตัวหลังทิ้งจะคิดได้ไวขึ้น คนขายถามเราว่า เหง่ย นึก หน่าว...เราก็ตอบไปว่า เหง่ย ไท้ แลน...แต่เขาก็ฟังไปว่า เหง่ย ไท้ ลอง(คนไต้หวัน)ซึ่งเราก็ตอบว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อสามสี่ปีก่อน คนไทยไปที่นั่นน้อยมาก จึงยากที่เขาจะทราบ ร้านพวกนี้เราเรียกว่า หย่า ซิว ถิ ...ผิดกับร้านขายข้าว จะเรียกว่า เตี่ยม อัง... เจ้าของร้านขายของก็ดีครับ เท่าที่ขายเราราคาก็พอพอกับบ้านเรา(จะว่าไป ควรจะถูกกว่านะ แสดงว่าแพง ต้นทุนถูกแต่แพงภาษี) เมื่อเทียบราคาตามห้างซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองอย่างCoopMart ก็ใกล้เคียง เขาช่วยจดราคาสินค้าให้เราเพื่อแสดงความจริงใจ เพราะเราสามารถตรวจกับราคาที่อื่นได้ เราก็รู้สึดดีไม่น้อยและประทับใจ ก่อนเรากลับบ้านก็ได้แวะซื้อบุหรี่ยี่ห้อBatos(เบส ต๊อด)สไตล์ฝรั่งเศส ราคากรรมกร ราคากล่องละ 25.000 ด่อง(63บาท ซองละ7บาท) ผมเคยซื้อไปฝากพี่ชายหนึ่งครั้ง


ร้านที่เราซื้ออยู่ถัดจากโรงงานNumber One โรงงานเป็นรูปขวด ติดกับด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ซึ่งเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของผมทีเดียว รองจาก ก่าเฟเสือด๊า(กาแฟยกล้อ) สีสันเหลืองรสชาดอย่างเครื่องดื่มกระทิงแดงบ้านเรา เดิมนั้นผมก็เข้าใจผิดมาครั้งหนึ่งตอนมาถึงเวียตนาม เพราะคนที่มานั่งร้านก่าเฟ(ขายเครื่องดื่ม นั่งดูหนัง ฟังเพลง) ดื่มเครื่องดื่มสีเหลืองจนคิดว่าดื่มเบียร์แต่กลับว่าไม่ใช่ กลับกลายเป็นชา หรือเจ้าเครื่องดื่มNumber One แทน ฮ่า...ของที่เราซื้อก็ส่วนมากจะเป็นนมเปรี้ยว(เสือ จัว) ขนมปังKinh Do(กิน โด้) เครื่องดื่มนึก หง๊อด(น้ำหวาน) อย่างเป๊บซี่ ส่วนโค้กไม่ค่อยเห็น และเครื่องดื่ม นึกเอี๊ยง(รังนกน้ำเชื่อม) ซึ่งดื่มชื่นใจแก้แฮ้งค์ได้ดี เครื่องดื่มNumberOne น้ำหวานเชื่อมว่านหางจระเข้ น้ำเก๊กฮวยกระป๋อง น้ำดื่มซาสี่(กลิ่นคล้ายยาประจำเดือนเบนโล) สุดท้ายก็เป็นน้ำส้มคั้นกระป๋อง(นึก กาม แอ๊ป)ผมชอบยี่ห้อTwister เป็นน้ำส้มคั้นมีกาก ช่วงที่มาทำงานเมื่อปีที่แล้วเครื่องดื่มจันไย(น้ำส้มกะทกรก) อันนี้รสชาดดีเช่นกัน ยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ประเทศเขาเยอะมาก ที่เราตุนเครื่องดื่มไว้เพราะราคาเครื่องดื่มของโรงแรมชาร์ทเราแพงสองเท่าจากข้างนอก แต่ถึงอย่างไรเจ้าของก็ใจดีเขาชื่อคุณThong(ทอม) อำนวยความสะดวก ช่วยเราไล่ผู้หญิง(หากิน)และตามคนที่ขโมยตังค์ผมด้วย ขอบคุณมากครับ
Sunday, July 8, 2007
Viet nam Soldier


ผมสังเกตอย่างนึงรถที่เขาใช้จะป้ายสีแดง ทำให้รู้ว่าเป็นรถทหาร แต่ถ้าเป็นรถหลวงหรือราชการทั่วไป จะเป็นป้ายสีฟ้าตัวอักษรสีขาว เท่าที่ทราบมีกองพันที่มีเครื่องจักรงานก่อสร้างและทหารช่างจำนวนมาก หลังช่วงหมดสงครามก็ว่างงาน ก็เลยมารับงานรับเหมาก่อสร้างกับเขาด้วย อย่างพื้นที่ที่เราทำการก่อสร้างเป็นเขตพื้นที่สงคราม เราอยู่ไม่ไกลจากเขตตำบล กู๋จี ที่เป็นนครใต้ดินของเวียตกงเอาชนะทหารอเมริกัน จึงมีระเบิดอยู่เป็นจำนวนมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ผมกำลังถมดินก็มีรถบรรทุกมาลงดินถมที่มีลูกระเบิดขนาดยาวประมาณศอกเศษลงมาด้วย ทำเอา รปภ.วิ่งกระจาย ผมเลยเดินไปดู แล้วแจ้งทางทหารมาเก็บกู้อันนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพราะรัฐเขารับผิดชอบ ส่วนเรื่องเลี้ยงดูปูเสื่อ หาเงินทุน ทหารเขาเก่ง เพราะถือว่าเป็นธุรกิจ เมา เที่ยวถึงไหนถึงกัน และแต่ละคนก็มีฐานะไม่เบาทีเดียว
บรรษัทนี้ เข้าตลาดหลักทรัพย์หรือเอ็นเตอร์ไพร์ และชอบตั้งบริษัทโดยเอาชื่อกองพัน อย่างกองพันนี้เป็นกองพันที่ 59 จบงานเป็นไงบ้างผมก็ไม่ทราบ เพราะบริษัทเรียกตัวกลับมาทำงานที่เมืองไทย ทราบภายหลังเขาสร้างอาคารสูบน้ำและอุโมงค์สูบน้ำเสร็จ แต่เจ้าของจ่ายตังค์ไม่ครบ และเขาประสบปัญหากับหลายโครงการด้วยกัน(เพื่อนเวียตเล่าให้ฟัง) ทำให้ต้องชะลอและหยุดงานไป ก็เป็นเรื่องน่าเศร้า นี่แหละชีวิตคนก่อสร้าง
Thursday, July 5, 2007
Thanh Hóa City On Demand Part II

ส่วนอีกสถานที่หนึ่งที่อดกล่าวถึงไม่ได้ก็คือ วิหาร บ่า จิ่ว Bà Triệu (=ท่านผู้หญิงจิ่ว) ซึ่งตั้งอยู่ตีนเขาตุ่มTùng เขตคอมมูนจิ่ว ล่อบ Triệu Lộc โดยสถานที่แห่งนี้เดิมเป็นที่ตั้งของกองกบฎก่อจราจลของท่านผู้หญิงโดยท่านมีชื่อเดิมว่าจิ่ว ถิ จินTriệu Thị Trinh ท่านเป็นวีรสตรีแห่งชาติ โดยการเป็นผู้นำในการต่อต้านการรุกรานของเวียตนามเหนือในศตวรรษที่สาม โดยทุกปีที่วิหารจะจัดพิธีรำลึกถึงท่านในวันที่ 21 ตามปฏิทินจันทรคติหลังตรุษจีนไปสองเดือน น่าจะช่วงไหว้เทศกาลพระจันทร์นะ ประชาชนที่มาร่วมพิธีส่วนมากจะยังคงรำลึกถึงคำกล่าวของท่านผู้หญิงที่ว่า " ฉันอยากจะวิ่งฝ่ากระแสลมที่พัดโหมกระหน่ำ แล่นเรือฝ่าคลื่นที่โหมกระหน่ำ ขับไล่อริราชศัตรูออกจากประเทศ และจะไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาดหากต้องตกเป็นทาสของพวกมัน"

แม่น้ำหมาMã เป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ที่ใกล้ชายหาดมากที่สุด โดยไหลผ่านเขาสูงรูปร่างคล้ายหัวมังกร(หั่ม หร่อม)Hàm Rồng โดยยังเป็นชื่อของสะพานที่นั่นอีกด้วย เมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบ วิศวกรชาวฝรั่งเศส พยายามที่จะสร้างสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำหมา โดยได้แล้วเสร็จในปี 1905 แต่เป็นแค่สะพานขึงเท่านั้น และได้ถูกทำลายในช่วงสงครามต่อต้านฝรั่งเศส เมื่อสันติภาพกลับมาอีกครั้งในปี 1954 วิศวกรชาวเวียตนามได้ทำการสร้างสะพานเหล็กดังกล่าวต่อ โดยสะพานหั่มหร่อม นี้ได้แล้วเสร็จในวันที่ 19 พฤษภาคม 1964 ต่อมาได้รับความเสียหายจากการโจมตีตัดกำลังเวียตนามเหนือโดยสหรัฐในสมัยสงครามเวียตนาม
Subscribe to:
Posts (Atom)