เรียนภาษาเวียดนามออนไลน์ฟรี สำหรับคนไทย แหล่งเรียนรู้ภาษาเวียดนามออนไลน์สำหรับคนไทย รวมคำศัพท์พื้นฐาน บทสนทนา และการอ่านออกเสียงง่าย ๆ
หัวข้อยอดนิยม
culture
(9)
customs
(1)
economic
(2)
Education
(5)
Entertainment
(5)
famous
(1)
food
(7)
football
(1)
gameshow
(1)
general
(1)
History
(10)
language
(16)
law
(1)
lifestlye
(32)
lifestyle
(6)
Music
(1)
MV
(5)
place
(1)
politic
(1)
singer
(2)
socities
(5)
sport
(1)
thai
(2)
travel
(6)
viet
(1)
vietnam
(18)
work
(2)
Showing posts with label History. Show all posts
Showing posts with label History. Show all posts
Friday, November 20, 2009
ตระกูลเล(Lê)
มีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งแซ่เล อยากทราบที่มาของแซ่ตระกูลเล อันที่จริงแล้วผมมีLinkเพื่อนบ้านวิกิพีเดีย(http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเวียดนาม) เป็นประวัติที่มาของต้นตระกูล และประวัติศาสตร์ของเวียตนาม ลองไปอ่านดูเพิ่มเติมเองนะครับ
ผมจำได้ว่าตอนที่อยู่โฮจิมินห์ซิตี้เคยเห็นถนนเส้นหนึ่งชื่อเล เหล่ย ในเขตหนึ่ง เป็นถนนเส้นใหญ่จากตลาดBen Thanh ไปสุดที่โอเปร่าเฮ้าส์ สองข้างทางเป็นบริเวณซื้อของที่ระลึก โรงแรมRex หอประชุมประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ ชื่อถนน อนุสาวรีย์วีรบุรุษในเมืองโฮจิมินห์ ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ซึ่งไว้จะเล่าคราวหน้าต่อนะครับ
มาเข้าเรื่องดีกว่า โดยจะว่าไปยุคของตระกูลเล เกิดขึ้นในสองช่วงเวลาคือช่วงปลายยุคราชวงศ์เก่า ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก พ.ศ. 1524-1552 และช่วงกลางราชวงศ์ยุคใหม่หรือราชวงศ์เลยุคหลัง พ.ศ. 1971-2331 ยุคแรกของเลคงเป็นช่วงสั้น ไม่โดดเด่นนัก สู้เลยุคหลังไม่ได้ บุคคลทีทำให้ตระกูลเลยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นจักรพรรดิ์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เลยุคหลัง วีรบุรุษในตำนานประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ตำนานทะเลสาบคืนดาบในฮานอย ท่านนั้นก็คือ
Friday, October 2, 2009
Truyền Kiều
Truyền Kiều
Truyện Kiều เจวี่ยน เกี่ยวหรือบทประพันธ์เกี่ยว แต่งโดย Nguyễn Du (1765-1820) เป็นบทประพันธ์ที่คลาสิกของเวียตนาม ด้วยจำนวนกว่า 3,254 บรรทัด นิยมขับร้องด้วยทำนองพื้นบ้านและเครื่องดนตรีพื้นเมือง(ca dao) รวมทั้งการนำบทประพันธ์ไปเขียนอย่างงดงามด้วยพู่กันจีน เนื้อหากล่าวถึงชีวิต ที่ลำบากยากแค้น ของหญิงสาวชื่อThúy Kiều สาวแรกรุ่นที่สวยและเก่ง ได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของตน เธอจึงไม่เหมือนผู้หญิงที่ขายตัวทั่วไป เพียงแต่ต้องการช่วยพ่อและน้องชายจากการจองจำในคุกMột mình lặng ngắm bóng nga
Rộn đường gần với nồi xa bời bời
Người mà đến thế thì thôi
Đời phồn hoa cũng là đời bỏ đi
Người mà gặp gỡ làm chi
Trăm năm biết có duyên gì hay không
Truyền Kiều : Nguyễn DuNguyễn Du แต่งโดยใช้เค้าโครงจากเรื่องKim Vân Kiều บทประพันธ์ที่คลาสิกของจีน โดยนำพาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องในปลายศตวรรษที่18 ยุคราชวงศ์ Lê โดยมีกษัตริย์ Trịnh ปกครองทางตอนเหนือและมีกษัตริย์ Nguyễn ปกครองทางตอนใต้ ในขณะที่ทั้งสองมีความขัดแย้งกัน กลุ่มกบฏ Tây Sơnก็ได้ทำการปฏิวัติ ยึดอำนาจจากสองกษัตริย์ จวบจนนับสิบปี ตัวNguyễn Du เองนั้นจงรักภักดีต่อราชวงศ์Lêและหวังว่าราชวงศ์นี้จะกลับมาปกครองอีกครั้ง จนในปี คศ.1802 กษัตริย์Nguyễn Ánhได้รวบรวมอาณาจักรเวียตนามทั้งหมดและได้ก่อตั้งราชวงศ์Nguyễn สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ์ยาลอง(Gia Long) และอยากให้ Nguyễn Du เข้าร่วมงาน แต่เขาไม่เต็มใจนัก เหตุการณ์ในตอนนั้นเปรียบได้กับตัวเอกของเรื่องที่
เขาแต่งในTruyện Kiều บทประพันธ์ถูกเขียนไปในเชิงแฝงความคิด ที่ขัดแย้งความเชื่อ อย่างลัทธิเต๋าขงจื้อ อาทิเช่น
-เริ่มด้วยความลำบากของหญิงสาวจากความโลภของขุนนางจีนคนหนึ่ง แต่กลับยกย่องขุนางอย่างมีศีลธรรม
-กลุ่มจราจลTu Hai ถูกยกย่อง แต่ว่ากษัตริย์Nguyen Tu Duc กล่าวว่าคนแต่งนี้สมควรจะได้รับโทษอาญา
-นางหลงรักชายหลายคนที่ไม่ได้เห็นชอบจากพ่อแม่ ความรักที่มีข้อกังขาขัดหลักการขงจื้อ
-นางหลงรักชายสามคนที่มีความแตกต่างกัน แต่นางคงความซื่อสัตย์ที่มีต่อชายหนึ่งเดียวที่เข้ามาในชีวิตเธอ
ต้นฉบับแต่งด้วยภาษาเวียตนามโบราณ(จีน) และได้แปลคำอ่านเป็นภาษาเวียตนามปัจจุบันตามที่ทางคุณNgaได้ลงบทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ ผมไม่ค่อยถนัดงานแปลหากมีโอกาสจะแปลให้คราวหน้านะครับ
Saturday, March 15, 2008
จอมพลรัฐบุรุษแห่งแดนใต้
นอกจาก ตลาดBen Thanh ,อาคารรัฐสภา(the Reunification Palace),โบสถ์จั่วบา,ที่ทำการไปรษณีย์และโรงมหรสพแห่งชาติ(The City Opera House) แล้วยังมีอีกที่หนึ่งที่สำคัญไม่น้อยทีเดียวคือวัด Lang Ong Ba Chieu ซึ่งเป็นสุสานประจำตระกูลของรัฐบุรุษเล วัง ยุด ถูกสร้างในศตวรรษที่ 19 โดยเป็นที่ที่หลงเหลืออยู่ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไซง่อน
ชื่อของวัดมีที่มาของการเล่นคำที่น่าสนใจกล่าวคือLang Ôngเป็นคำในภาษาเวียตนามแปลว่าวัดของสุภาพบุรุษ มาผสมคำกับ Bà Chiuที่มีความหมายถึงท่านผู้หญิงChiu ทำให้มีความหมายโดยรวมทั้งสองเพศ คือเป็นวัดของสุภาพบุรุษในเขตของท่านผู้หญิงChiu(วัดอยู่ติดกับตลาดBà Chiu)
นายพลเล วัง ยุด เป็นผู้นำชาติคนสำคัญในยุคของราชวงศ์Nguyen เขามีส่วนสำคัญในการรักษาอำนาจอธิปไตยสูงสุดในเวียตนามใต้ ซึ่งเคยเป็นดินแดนที่ถูกทอดทิ้งมานาน เป็นบุตรชายของบุคคลสำคัญที่อพยพมาจากภาคกลาง จ.Quang Ngai โดยได้ย้ายลงมาตั้งถิ่นฐานทางตอนใต้ ซึ่งปัจจุบันก็คือ จ.Tien Giang บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงนั่นเอง
ปลาย ศตวรรษที่ 18 พระเจ้าNguyen Anh ถูกโจมตี โดยกองกำลังกบฎTay Son จนต้องหลบหนีมาพักกับคนในตระกูลยุด จนเมื่อเขาอายุได้ 17 ปี จึงได้เป็นขันทีรับใช้ พระเจ้าNguyen Anh หลังจากนั้นกองกำลังทหารNguyen ได้มีชัยเหนือกองกำลังกบฎTay Son พระเจ้าNguyen Anh จึงได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ Gia Long(ยา ลอง) ในปี ค.ศ. 1802 โดยที่ตัวเขาเหมือนได้รับโชคสองชั้นได้รับการพระราชทานตำแหน่งให้เป็นผู้สำเร็จราชการ Gia Dinh (คำว่าGia Dinh ยาดิ่น=ครอบครัว เป็นที่รู้กันในตอนนั้นว่าหมายถึงเวียตนามใต้ )
ในช่วงตลอดชีวิต เขาคือสุดยอดนายพล ได้ทำการปราบกบฎภายในประเทศและผู้รุกรานจากนอกประเทศ ด้วยการประสบความสำเร็จในกองทัพ เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพล นอกจากเขาจะไม่สนับสนุนการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์Minh Mang เขายังปล่อยให้มีมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์จากฝรั่งเศส รวมทั้งเปิดการค้าขายในราชอาณาจักรแก่พ่อค้าชาวจีน โดยไม่เกรงกลัวต่อการถอดยศ จนทำให้ไม่เป็นที่พอใจต่อกษัตริย์Minh Mang เป็นอย่างมาก
หลังจากถึงแก่อนิจกรรมของเขาในปี ค.ศ.1832 บุตรชายบุญธรรม Le Van Khoi ได้ทำการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์Minh Mang แต่ก็ได้ถูกจับกุมและฆ่าตายเสียก่อน เพื่อเป็นการตัดไม้ข่มนามไม่ให้เกิดการก่อกลุ่มพันธมิตรของKhoi ในปี ค.ศ.1835 กษัตริย์Minh Mang จึงเข้ารื้อถอนสุสานของนายพลเล วัง ยุด และเอาโซ่ล้อมไว้ จนกระทั่ง 6 ปีต่อมา กษัตริย์Thieu Tri(ผู้สืบราชวงศ์ต่อจากกษัตริย์Minh Mang)ได้ทำการเอาโซ่นั้นออก และทำการบูรณะสุสานใหม่ จนมาถึงรัชสมัยของกษัตริย์Tu Duc(โอรสกษัตริย์Thieu Tri )จึงได้ทำการสร้างวัดล้อมรอบบริเวณนี้ขึ้นมา
สถานที่อย่างเป็นทางการของวัดคือ 126 ถนน Dinh Tien Hoang เขตBinh Thanh วัดนี้มีถนนสี่เส้นล้อมรอบคือDinh Tien Hoang, Phan Dang Luu,Trinh Hoai Duc และ Vu Tung นักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าวว่าวัดแห่งนี้มีทำเลที่ดีตามตำราฮวงจุ้ยคือมีพื้นที่ลาดลงไปยังสะพานBong(สู่แม่น้ำ)
บนพื้นที่วัดกว่า 18,500 ตร.ม. นั้นมีประตูเข้าออกสี่ทิศ รั้วล้อมสี่ด้านยาวกว่า 500 ม.ทางเข้าหลักออกสู่ถนนVu Tungด้านใต้ อีกสามประตูเป็นลักษณะการก่อสร้างตามแบบอย่างโบราณของเวียตนามใต้(Gia Dinh)
ภายในตัววัดจะมีแผ่นหินจารึก สุสาน และที่สักการะบูชา สิ่งของนิทรรศการที่แสดงรูปของนายพลเล วัง ยุดและของใช้ส่วนตัวบางส่วน
ภายในตัววัดจะมีแผ่นหินจารึก สุสาน และที่สักการะบูชา สิ่งของนิทรรศการที่แสดงรูปของนายพลเล วัง ยุดและของใช้ส่วนตัวบางส่วน
โดยทั่วไป สถาปัตยกรรมเป็นรูปแบบผสมของโบสถ์ที่ Hue และวังเก่า มาผสมผสานกัน แต่ก็ยังมีเรื่องราวที่ยังคงถกเถียงกัน เกี่ยวกับชีวประวัติของนายพลเล วัง ยุด โดยผู้เขียนหนังสือ Hoi Dap Ve Sai Gon-Thanh Pho Ho Chi Minh (FAQ About Saigon-HCM City) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า บางสถานศึกษายกย่องเขาเป็นวีรบุรุษและยอดนายพล ผู้เสียสละทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อรักษาอธิปไตยปกป้องเวียตนามใต้ บางที่ก็กล่าวว่าเขาใช้อำนาจไปในทางที่ผิด และเป็นพวกสนับสนุนฝรั่งเศส
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ เขาเป็นสร้างบรรทัดฐานของการเปิดดินแดนการค้าเสรีขึ้นในภูมิภาคนี้ ภายใต้การมองการณ์ไกล ทำให้เวียตนามใต้พัฒนาเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้เขาเป็นที่นับถือของชาวใต้เสมอมาจวบจนปัจจุบัน ดังนั้นในช่วงฉลองเทศการปีใหม่ของชาวเวียตนาม(Tet) ทุกปี จะมีผู้คนไปท่องเที่ยวที่วัดนี้จำนวนมากมาย เพื่อแสดงความรำลึกถึงเขา ขอพร ขอความสุข และสุขภาพที่ดี ยังไงก็ลองไปดูนะครับ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
จาก Quynh Thu,The Saigon Times Weekly
Thursday, November 1, 2007
ที่มาชื่อเมืองโฮจิมินห์
Ho Chi Minh City หรือชื่อเต็มว่า "ทั่น โฟ้ ห่อ จี๊ มึน" (Thành phố Hồ Chí Minh) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเวียตนามและตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง มีชื่อเดิมว่า ไพร นคร(ภาษาขอม) เป็นเมืองท่าสำคัญในสมัยก่อนของเขมร ภายหลังศตวรรษที่ 16 จนประมาณปี คศ.1698 ดินแดนนี้ได้จึงตกเป็นของชาวเวียตนาม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เมืองไซง่อน จนจบสงครามเวียตนาม จากสมัยตกเป็นอาณานิคมปกครองเขตโคชินไชน่าของฝรั่งเศส ถึงสมัยจัดตั้งรัฐบาลเวียตนามใต้ ใน คศ.1954 ถึง 1975 เมืองไซง่อนจึงได้รวมกับเขตจังหวัดปริมณฑล(Gia Định) จนเปลี่ยนชื่อมาเป็นเมืองโฮจิมินห์(แม้ว่าปัจจุบันบางคนจะยังคงเรียกว่าเมืองไซง่อนอยู่) ใจกลางของเมืองตั้งอยู่บนริมฝั่งของแม่น้ำไซง่อน โดยห่างจากทะเลจีนใต้ 60 กม.-ชื่อเดิมในภาษาเขมร เมืองไซง่อนเดิมนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อเดิมที่มาจากภาษาเขมรว่า ไพร นคร ซึ่งมีความหมายว่า เมืองป่าพนาวัณ ในปัจจุบันทางชาวเขมรชนกลุ่มน้อยบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงก็ยังคงเรียกเช่นนี้อยู่
-ชื่อเรียกในเวียตนาม หลังจากที่ไพรนครตกเป็นเมืองของชาวเวียตนามที่มาจากทางตอนเหนือ นับแต่นั้นจึงได้เรียกเมืองนี้ว่า ไซ่ ก่อน(Sài Gòn) มีข้อถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับที่มาชื่อเมืองนี้ และข้อวิเคราะห์ต่างๆเกี่ยวกับชื่อนี้ตามภาษาเวียตนาม
โดยก่อนหน้าที่จะใช้ชื่อเมืองว่าไซง่อนนั้น ไซง่อนได้ถูกเรียกว่าเมืองยา ดิ่น(Gia Ðịnh) ในสมัยที่ยังคงตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส จนปี คศ.1862 ทางฝรั่งเศสจึงได้เปลี่ยนมาเรียกเมืองอย่างเป็นทางการว่า เมือง "Saïgon" แต่โดยมากนิยมเรียกกันว่าเมือง Sài Gòn
จะว่าไปแล้วจากการเรียงคำ ในภาษาเวียตนาม Sài Gòn คำเขียนจะเขียนแยกห่างสองพยางค์ เพื่อความสะดวกในการอ่านออกเสียงสำเนียงภาษาเวียตนาม แต่ก็มีบางคนยังคงเขียนชื่อเมืองเป็นSàiGòn หรือ Sàigòn เพื่อความกระชับสั้นหรือดูแบบอย่างภาษาอังกฤษ
-รากศัพท์ในภาษาเวียตนามเป็นที่รู้กันว่าคำว่า Sài เป็นคำโดดในยืมมาจากภาษาจีน(อ่านว่า chái ในภาษาจีนกลาง) แปลว่า ฟืน,ซุง,กิ่งไม้,ไม้กั้นรั้ว คำว่า Gòn ยืมมาจากคำจีน (อ่านว่า gùn ในภาษาจีนกลาง) แปลว่า แท่ง,เสา,ซุง รวมคำทั้งสองจะมีความหมายว่า ต้นฝ้าย ในภาษาเวียตนาม(bông gòn=บอง ก่อน,gòn)บางคนกล่าวว่าชื่อนี้มีที่มาจากต้นฝ้ายจำนวนมากมาย ที่ชาวเขมรได้ปลูกไว้บริเวณโดยรอบไพรนคร ซึ่งยังคงสามารถมองเห็นได้จากบริเวณพื้นที่โดยรอบวัดCây Mai...
อีกที่มาก็คือ Trương Vĩnh Ký, "Souvenirs historiques sur Saïgon et ses environs", in Excursions et Reconnaissances,Imprimerie Coloniale, Saïgon, 1885 กล่าวว่ารากศัพท์ กิ่งแขนง(Sài) และ ลำต้น(Gòn) หมายถึง ป่าไม้ดงดิบที่ชุกชุม ที่ขึ้นอยู่โดยรอบเมือง ซึ่งตรงกันกับที่ชาวเขมรใช้เรียกกันว่าไพรนคร
ชาวจีนทั้งที่อยู่ในจีนและเวียตนามกลับไม่ได้เรียกเมืองนี้ว่า Chaai-Gwan ในภาษากวางตุ้ง หรือ Cháigùn ในภาษาจีนกลาง แม้จะมีนำสำเนียงรากศัพท์มาจากภาษาจีนแต่ชื่อไซง่อนเป็นคำตามภาษาเวียตนามที่แสลงเสียงมา ชาวจีนจึงเรียกเมืองนี้ว่า Sai-Gung ในภาษากวางตุ้ง หรือ Xīgòng ในภาษาจีนกลาง ซึ่งมีความใกล้เคียงตามสำเนียงมากที่สุด
-รากศัพท์ในภาษาเขมรอีกที่มากล่าวว่า "Saigon" มาจากคำว่า "Sai Con"ซึ่งน่าจะมาจากคำเขมรว่า ไพร คร แปลว่า ดงป่าต้นนุ่น คำว่า ไพร คร เป็นคนละคำกับ ไพร นคร ตามคำเขมร(คร=ต้นนุ่น,นคร=เมือง)ตามรากศัพท์แล้วคำในภาษาเขมรนี้มีความเกี่ยวพันกันน้อยมากนับแต่ชาวเวียตนามกลุ่มแรกเข้ามาในภูมิภาคนี้ จะว่าไปแล้วคำว่า ไพร ในภาษาเขมรกับคำว่า Sài ในภาษาเวียตนาม ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลยไม่ว่าจะด้วยสำเนียงการออกเสียงเดิมทีก็ตาม
-รากศัพท์ในภาษาจีนกวางตุ้งที่มาชื่อเมืองเสนอโดยVương Hồng Sển โดยนักวิชาการเวียตนามต้นศตวรรษที่20 ซึ่งได้ยืนยันว่าคำว่า Sài Gòn มาจากชื่อในภาษากวางตุ้งว่า Chợ Lớn(เจอะ เลิ้น) ซึ่งเป็นชื่อเขตชุมชนชาวจีนในเมืองไซง่อน ชื่อของเจอะเลิ้นในภาษากวางตุ้งว่า "Tai-Ngon" แปลว่า เนินดิน ที่ดอน จึงเป็นสิ่งสนับสนุนว่าชื่อเมืองไซง่อน เพี้ยนมาจากคำว่า"Tai-Ngon"
-ชื่อปัจจุบันวันที่ 1 พฤษภาคม 1975 หลังจากการรวมชาติโดยผู้นำโฮจิมินห์ มีชื่อเรียกเมืองอย่างเป็นทางการว่า Thành phố (ทั่น โฟ้=เมือง) Hồ Chí Minh ชื่อย่อว่า TP.HCMC ในภาษาอังกฤษว่า Ho Chi Minh City ชื่อย่อว่า HCMC ชื่อตามภาษาฝรั่งเศสว่าHô Chi Minh Ville ชื่อย่อว่า HCMV แต่ชาวเวียตนามโดยทั่วไปก็ยังคงเรียกเมืองนี้ว่า Sài GònหรือSaigon
Saturday, October 27, 2007
พระสงฆ์และการเมือง
เมื่อเดือนที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์จราจลที่พม่า มีพระสงฆ์ออกมาเดินประท้วงและได้ถูกฆ่าทำร้ายมรณกรรมไปสิบกว่ารูป ทำให้นึกถึงที่เวียตนามก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้ต่อต้านรัฐบาลทหาร แต่เป็นการต่อต้านรัฐบาลเวียตนามใต้เองที่กีดกันการดำเนินกิจกรรมทางพุทธศาสนา พระรูปนั้นมีนามว่า Thích Quảng Ðức(ทิด กว๋าง ดึ๊ก) ชื่อเดิมว่านาย Lâm Văn Tức(ลาม วัง ตุ๊บ) เกิดเมื่อปี 1897 เป็นพระสงฆ์ชาวเวียตนามรูปหนึ่งที่เผาตัวเองประท้วงจนมรณกรรม ที่บริเวณ กลางสี่แยกแห่งหนึ่งในกรุงไซง่อนเมื่อ 11 กันยายน 1963 จากการกระทำของท่าน ถูกเผยแพร่โดยผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ชื่อนาย David Halberstam จากสำนักข่าว New York Times กล่าวว่า"ผมยังคงเห็นภาพอย่างนี้ในครั้งต่อต่อมา แต่คงเทียบกับคราวนั้นไม่ได้ เปลวไฟที่ลุกท่วมร่างชายคนหนึ่ง เผาร่างกายค่อยๆแห้งหดลง ศรีษะดำไหม้จนเป็นตอตะโก อากาศทั่วบริเวณคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเนื้อย่าง แต่ที่น่าประหลาดก็คือร่างของท่านถูกเผาไหม้อย่างรวดเร็วมาก ด้านหลังของผมนั้นระงมไปด้วยเสียงสะอื้นของชาวเวียตนามในขณะนั้นพร้อมๆกัน ทำให้ตัวผมเองนั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สับสนงุนงงจนไม่รู้ว่าจะบันทึกอะไรหรือสัมภาษณ์อะไร หัวสมองมันเคว้งคว้างไปหมด...ตอนที่ร่างท่านถูกเผา ท่านไม่ขยับตัวเลยสักนิด ไม่ส่งเสียงร้อง ความสงบนิ่งของท่าน ช่างตรงกันข้ามกับผู้คนรอบข้างท่าน ที่กำลังร้องไห้ระงม"
พระท่านนี้ต่อต้านและประท้วงวิธีการบริหารตามแนวทางของประธานาธิบดี Ngô Đình Diệm ที่กดขี่ข่มเหงชาวพุทธ ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความแตกสามัคคีในหมู่ชาวเวียตนามด้วยกันและฆ่ากันเอง
บริเวณเกิดเหตุการณ์เผาประท้วงอยู่ที่สี่แยกถนนPhan Đình Phùngและถนน Lê Văn Duyệt(ภายหลังปี 1975 ถนนสายนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็นถนนNguyễn Đình Chiểu และถนน Cách Mạng Tháng Támตามลำดับ) ก่อนเกิดเหตุการณ์ท่านจำพรรษาอยู่วัดนอกเมืองHuế ในภาคกลางเวียตนาม และได้ขับรถออสตินสีฟ้าอ่อนมาเมืองไซง่อน ซึ่งปัจจุบันรถคันนี้ยังคงเก็บรักษาไว้ที่เมืองHuế ณ วัดThien Muหลังจากท่านมรณกรรม ร่างท่านนั้นก็ได้ถูกเผาจนหมด แต่แปลกที่เหลือเพียงหัวใจของท่านนั้นที่ยังอยู่ เป็นสิ่งที่เชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ และได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธนาคารเวียตนาม
ส่วนท่านผู้หญิงNhuซึ่งเป็นภริยาประธานาธิบดีขณะนั้นได้กล่าวอย่างยกย่องเกี่ยวกับการกระทำว่าเธอควร"ต้องขอปรบมือล่วงหน้าให้พระรูปอื่นๆที่จะมาแสดงการย่างบาบีคิวให้ดูอีก"(นี่เป็นชนวนที่จะก่อให้เกิดการเลียนแบบต่อต่อมาและทำลายความมั่นคงภายในรัฐบาล) จากคำพูดของเธอ ทำให้เธอได้รับฉายาว่า "Dragon Lady(หญิงเหล็ก)"
มีกลุ่มวงนักน้องเพลงร๊อคชาวสหรัฐที่ต่อต้านโรงงานจักรกลใช้รูปพระเผาตัวเองประท้วง บนปกอัลบั๊มตนเองเมื่อปี 1992 และปี 1989 บนปกอัลบั๊มกลุ่มนักร้องชาวแคนาดา เดเลเนี่ย
ที่มา::Wikipedia
Wednesday, October 24, 2007
หลายสะพานที่ไซง่อน
ในไซง่อนมีหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสะพานในโฮจิมินห์ทั้งระบบและมากไปกว่าอย่างประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจโฮจิมินห์คงจะเป็นเหมือนอย่างในหลายหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ราบลุ่มแม่น้ำ เมืองที่มีเครือข่ายสายน้ำที่มารวมกัน จึงเป็นสาเหตุของการที่ต้องมีสะพานสำหรับการเดินทาง
ตามสถิติแล้วในไซง่อนมีอยู่มากมายหลายสะพานด้วยกัน จำนวนเท่าไรก็แล้วแต่แหล่งข้อมูล แต่เป็นที่เข้าใจว่าได้มีการสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ แต่กล่าวกันว่ามีมากกว่า 350 สะพาน หลากหลายช่วงความยาว รวมแล้วโดยเฉลี่ยแล้วยาวกว่า 17 กม.
สะพานส่วนมากถูกสร้างก่อนปี 1975 ซึ่งตอนนั้นเวียตนามยังไม่แยกเหนือใต้ โดยส่วนมากเป็นสะพานขนาดใหญ่ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวไซง่อนที่ดี ในขณะนั้นอันเป็นเวลากว่าทศวรรษ
สะพาน Cu Mong เป็นสะพานที่ล้ำสมัยแห่งแรกของเมือง ได้รับการออกแบบอย่างอย่างเหมาะสมมีระบบรูปแบบ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างสองปี 1893-1894 เชื่อมเขตหนึ่งและเขตสี่ ข้ามตลิ่งBen Nghe ด้วยความยาวกว่า 128 เมตร กว้าง 5.2 ม.ตัวสะพานโค้ง Mongเป็นคำที่ชาวบ้านเรียกว่าสายรุ้ง ด้วยตัวสะพานเองมีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่มีตอม่อ ทราบภายหลังว่าเป็นช่างชาวฝรั่งเศสในเมืองไซง่อนชุดเดียวกันกับที่ก่อสร้างหอEiffel เมื่อปีที่ผ่านมาไม่นานมานี่เอง ได้มีการสร้างอุโมงค์ขนส่งThu Thiem ลอดใต้แม่น้ำไซง่อน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้สะพานนี้อีกต่อไป เมื่ออุโมงค์นี้แล้วเสร็จ
แต่ยังมีนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มกล่าวว่า สะพานCu Son ถูกยกว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่กว่าของเมือง ถูกสร้างเมื่อปลายศตวรรษที่19 ในที่ที่ได้มีการปลูกต้นยางจึงเป็นที่มาของชื่อสะพาน สะพานนี้ยาว 19 ม.กว้าง11 ม. ปัจจุบันอยู่บนเส้นทางถนน Xo Viet Nhge Tinh เชื่อมชุมชน25 และ 26 เขตBinh Thanh
ก่อนที่เวียตนามจะรวมชาติกัน สะพาน Binh Loi เป็นสะพานอาถรรพ์ สำหรับคนที่สิ้นหวังในชีวิตมักจะมา กระโดดน้ำฆ่าตัวตายในแม่น้ำไซง่อน ตามประวัติแล้วมีความสำคัญตรงที่เป็นสะพานเดินเรือเข้าออกเมืองเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1902 โดยข้าหลวงฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาสะพานจะมีอดีตที่ไม่ดี แต่ปัจจุบันมันยังคงเป็นเสมือนประตูสู่เมืองโฮจิมินห์ โดยเป็นสะพานรับการเดินทางสำหรับทางรถไฟ
สะพานอีกแห่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือสะพาน Cu Chu Y มีรูปร่างเหมือนตัว Y ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1938-1942 เชื่อมระหว่างสี่ตลิ่งอันได้แก่ Ben Nghe,Tau Hu,Kenh Doiและ Kenh Te เชื่อมเขตห้า เขตแปด และบางส่วนในเขตเจ็ด ว่ากันว่าเป็นสะพานขนส่งทางเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างเขตห้าที่ร่ำรวย(เจอะเลิ้น=ไชน่าทาวน์) และเขตแปดที่ยากจนเข้าหากัน
ส่วน สะพานBinh Trieu IและII เป็นเส้นทางออกไปยังตอนเหนือ ส่วนสะพานTan Thuan IและII เป็นเส้นทางไปทางตอนใต้ ส่วนสะพาน Binh Dien IและIIเป็นเส้นทางไปทางออกไปทางตะวันตก ทุกสะพานที่กล่าวถึงนั้น มีบางสิ่งที่เหมือนกันคือถูกสร้างขึ้นเป็นสะพานคู่โดยสะพานคู่ที่สร้างนั้นได้ถูกสร้างภายหลังการรวมชาติ
อย่างไรก็ตามถ้านับความยาวและมีชื่อเสียงของเมืองคงไม่พ้นสะพานไซง่อน ที่เชื่อมถนนDien Bien Phu เขตBinh Thanh ออกถนนหลวงฮานอยเขตสอง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Johnson-Drake and Pipe จากสหรัฐ เมื่อพฤศจิกายน ปี 1958-มิถุนายน 1961มี 22 ช่วงรวมแล้วยาวกว่า 1,010 ม.ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้มา มันยังคงเป็นประตูสำคัญในการเข้าสู่เมือง
ในปี 1998 สะพานไซง่อนได้รับการปรับปรุงด้วยวงเงินสนับสนุนงบประมาณจากฝรั่งเศส ว่าจ้างบริษัทฝรั่งเศสPreyssinet ที่เคยสร้างสะพาน Chu Y ทำการขยายความกว้างสะพานจาก 19.63 ม. เป็น 24 ม.
สะพานใหญ่ต่อไปในไซง่อนคงจะไม่พ้นสะพาน Thu Thiem ที่เชื่อมต่อเขตเมืองตอนในกับเขตชานเมืองเศรษฐกิจใหม่Thu Thiem เขตสอง ด้วยความยาวสะพานที่ยาวกว่าสะพานไซง่อนถึง 1,250 ม. ห้าช่วงช่วงละ370 ม. กว้าง 28 ม.
สะพาน Thu Thiem นี้คาดว่าจะเปิดตัวปลายปีนี้ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากความล่าช้าจากหลายสาเหตุ คงทำให้สะพานแห่งนี้ ช่วยยกระดับศักยภาพของริมฝั่งริมตลิ่งของแม่น้ำไซง่อนต่อไป
Saturday, October 20, 2007
ชื่อสะพานที่มาของวีรกรรม
สะพานNguyen Van Troiหรือสะพาน Cong Lyเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งบนเส้นทางจากสนามบินTan Son Nhat ก่อนเข้าสู่ตัวเมืองโฮจิมินห์ นับจากลงเครื่องเราสามารถนั่งรถแท๊กซี่ เราต้องผ่านถนนTruong Son ถนนNguyen Van Troi ถนนNam Ky Khoi Nghiaก่อนเข้าสู่ถนนLe Loi อันเป็นใจกลางเมืองไซง่อนถ้าเราวิ่งบนถนนNguyen Van Troi ผ่านเขตPhu Nhuan สังเกตว่าจะต้องผ่านสะพานแห่งหนึ่งก่อนที่จะถึงถนนNam Ky Khoi Nghiagในเขตสาม และมั่นใจได้เลยว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแรกที่คุณต้องผ่านนับแต่คุณมาเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ สะพานนี้มีชื่อว่าสะพาน Nguyen Van Troi แต่ชาวเมืองไซง่อนจะเรียกว่าสะพานCong Ly มีความยาวเพียงแค่ 100 เมตรเชื่อมระหว่างสองตลิ่งคือ Nhieu Loc-Thi Nghe Arroyo(ช่องแคบของคลอง-คำฝรั่งเศสผสมสเปน) สะพานได้สร้างขึ้นไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และเป็นสถานที่สำคัญก่อนเข้าเมืองโฮจิมินห์
เมื่อปี คศ 1960 สะพานCong Ly มีข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศได้เสนอข่าวเกี่ยวชายคนหนึ่ง ซึ่งภายหลังก่อให้เกิดชนวนสงครามการปฏิวัติเวียตนามใต้ขึ้น ในช่วงสงครามเวียตนาม เขาชื่อว่า Nguyen Van Troi(เหวียง วัง เจ่ย) ถูกจับกุมโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงภายในรัฐบาลเวียตนามใต้ ข้อหาพยายามลอบสังหารนาย Robert Mcnamara เลขาฯความมั่นคงของสหรัฐ โดยการวางระเบิดสะพานCong Ly เมื่อครั้งมาเยือนไซง่อน ต่อมานาย Troi ก็ถูกยิงเป้าประหารชีวิต 15 ตุลาคม 1964 โดยชื่อของเขายังคงเป็นที่จดจำ จนกระทั่งภายหลังการรวมประเทศ ในปี 1975 สะพาน Cong Ly จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นสะพาน Nguyen Van Troi เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงวีรกรรมของเขา
เนื่องจากการจราจรที่คับคั่ง จนเมื่อปีที่ผ่านมาสะพานนี้ได้ถูกปิดเพื่อทำการปรับปรุง โดยการสร้างสะพานเสริมขึ้นมาสองสะพานเพื่อระบายการจราจรชั่วคราว แต่ก็ยังแคบเกินกว่าที่จะระบายการจราจร ซึ่งอาจจะไม่ค่อยประทับใจนักท่องเที่ยวที่มาโฮจิมินห์ในครั้งแรกกับเหตุการณ์อย่างนี้ แต่นี่คือเมืองโฮจิมินห์ แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นช่วงครบรอบวันประกาศอิสรภาพปีที่ 62 ส่วนหนึ่งของสะพานได้เปิดใช้ หลังจากการขยายถนนกว้างขึ้นทั้งเส้นNguyen Van Troi และ Nam Ky Khoi Nghia ทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น โดยสะพานจะเปิดใช้งานได้จริงต้นปีหน้า 2008 ถ้าหากสังเกตให้ดีช่วงผ่านสะพานด้านขวามือช่วงต่อเขตสามและเขตหนึ่ง จะมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าVinh Nghiem ที่นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเยี่ยมชมและรับฟังเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในไซง่อน
ที่มา:SaigonTimes(EN)
Sunday, September 2, 2007
Farmer Revolution
บันทึกจากท้องถิ่น
เห็นเวียดนามผ่านกบฏชาวนา กวางจุง [QUANG TRUNG]วีรบุรุษผู้รวมชาติ
โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
การเห็นประวัติศาสตร์จากภายในกลายเป็นเรื่องสําคัญของการศึกษาสังคมข้ามวัฒนธรรมหรือสังคมอื่นอย่างจําเป็นของเวียดนามสําหรับคนไทย การรับรู้ทางประวัติศาสตร์ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องกบฏไตเซินซึ่งเป็นเหตุให้องเชียงสือพร้อมครัวญวนต้องหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง จนได้รับพระราชทานกองทัพไปตีเมืองไซง่อนครั้งหนึ่ง อยู่ได้กว่า 5 ปีก็ลอบกลับบ้านกลับเมืองไปโดยไม่บอกให้ใครรู้ เป็นเหตุให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทขุ่นเคืองและไม่ไว้ใจทัพญวนทางทะเล จนเป็นเหตุให้มีพระราชประสงค์ให้สร้างเมืองพระประแดงพร้อมป้อมขึ้นใหม่เพื่อเป็นเมืองด่านป้องกันศึกทางปากน้ำ องเชียงสือและกบฏไตเซินคือภาพของ ผู้ทรยศและกบฏ ในสายตาของคนไทยและประวัติศาสตร์ไทยแต่สําหรับชาวเวียดนาม ประวัติศาสตร์ที่ฝากร่องรอยและความทรงจําแห่งสงครามอย่างยาวนานและไม่ว่างเว้น กบฏไตเซิน คือวีรบุรุษสามัญชนผู้รวบรวมกองกําลังชาวนาเพื่อปลดแอกจากระบบภาษีที่เอาเปรียบรวมชาติเหนือและใต้ให้เป็นแผ่นดินเดียว ชาวเวียดนามเรียนรู้และซึมซับ ความรักชาติ [Patriotism] จากวีรกรรมของพี่น้องตระกูลเหวียนแห่งหมู่บ้านไตเซินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญของประวัติศาสตร์เวียดนามยุคหนึ่ง และไม่เคยมีคําว่าผู้ทรยศสําหรับ องเชียงสือที่ต่อมาคือ จักรพรรดิญาลองปฐมกษัตริย์ผู้สร้างพระราชวังเมืองเว้และปกครองบ้านเมืองในฐานะ "เวียดนามประเทศ" ได้เป็นครั้งแรกแท้จริงแล้ว สําหรับ กษัตริย์กวางจุง [QUANG TRUNG ] หรือ[Nguyen Hue] ( พ.ศ.2295-2335) ผู้เติบโตที่หมู่บ้านไตเซินในจังหวัดเหงียบินห์ ทางภาคกลางของเวียดนามเป็นพี่ชายคนที่สองของสามพี่น้องคือ เหวียน ธัค, เหวียน เว้ และเหวียน ลู ซึ่งเป็นหญิง [Nguyen Nhac, Nguyen Hue, and Nguyen Lu] ผู้นําในการปฏิวัติจากราชวงศ์เหวียนผู้ครอบครองแผ่นดินทางตอนใต้ของเวียดนาม ในปี พ.ศ.2328 ซึ่งเทียบได้กับช่วงเริ่มราชวงศ์จักรีที่กรุงเทพฯ พี่น้องไตเซินเข้ายึดเมืองหลวงไซง่อนและเริ่มการต่อต้านกลุ่มราชวงศ์ตรินห์ซึ่งครอบครองแผ่นดินทางเหนือเหวียน เว้ มีคําขวัญเพื่อต่อสู้คือ ฟื้นฟูราชวงศ์ลี้ ทําลายราชวงศ์ตรินห์ ภายหลังขึ้นครองราชย์ในชื่อ กวางจุง ตั้งเมืองหลวงที่เว้และส่งบรรณาการให้จีน ทําให้รัฐเป็
นปึกแผ่น ปรับปรุงการทหาร ปฏิรูปที่ดิน และเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับตะวันตก ฟื้นความรู้สึกรักชาติเป็นอิสระ วางแผนประเพณีราชสํานักแทนที่แบบจีนฮั่น แต่เขาตายอย่างกะทันหันในพ.ศ.2335 ขณะมีอายุเพียง 39 ปี ลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบจึงไม่สามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจัดสร้าง พิพิธภัณฑ์กวางจุง ที่หมู่บ้านไตเซิน บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลเหวียน พิพิธภัณฑ์สร้างในปี พ.ศ.2522 จัดแสดงร่องรอยของชีวิตและผลงานกษัตริย์กวางจุงเมื่อเกิดกระแสการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ไตเซินและพื้นที่ใกล้เคียง วีรกรรมการสู้รบของเหวียน เว้และพี่น้อง รวมทั้งภาพจิตรกรรมชิ้นหนึ่งที่ถือว่าเป็นวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของสองประเทศคือสยามและเวียดนามเป็นภาพเรือพายอนันตนาคราชซึ่งเสมือนสัญลักษณ์ของกรุงสยาม ที่เรารับรู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ส่งทัพเรือไปช่วยรบ ถูกกองเรือท้องถิ่นตีแตกพ่ายทําลายในน่านน้ำทะเลเวียดนาม อันเป็นการบ่งถึงประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของผู้เฝ้ามองจากภายในซึ่งอาจจะผิดหรือถูกในข้อเท็จจริงก็ได้ แต่ที่สําคัญคือ ภาพเขียนเหล่านั้นได้ทําหน้าที่แสดงออกอย่างเงียบๆ ในการกระตุ้นความรักชาติให้ก่อเกิดแก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวเวียดนามทั้งหลายและนอกจากนี้ พื้นที่บริเวณโดยรอบนอกจากอนุสาวรีย์กษัตริย์กวางจุงนําทัพซึ่งอยู่ด้านหน้าแล้ว ข้างๆ อาคารพิพิธภัณฑ์คือศาลเจ้าของตระกูลเหวียนและอนุสรณ์ที่รําลึกอื่นๆ เช่น ต้นมะขามอายุกว่าสามร้อยปี บ่อน้ำ สวนส้มของเหวียน เว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นไม้ต้องใช้การจัดแสดงแต่อย่างใด ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ก็เพื่อให้เห็นชีวิตคนธรรมดาที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีอภินิหารเหนือมนุษย์ เพราะนี่คือกษัตริย์ชาวบ้านที่แข็งแกร่งพอจะเป็นผูนําการปลดปล่อยชาวนาที่ทุกข์ยากซึ่งเป็นผู้คนพื้นฐานของประเทศและสามารถรวมชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวการยึดครองเวียดนามจนกลายเป็น "อินโดจีนของฝรั่งเศส" ระหว่าง พ.ศ. 2401-2483 และการเข้ายึดครองโดยญี่ปุ่นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกว่า 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2483-2488 จนกระทั่งเกิด "สงครามอินโดจีน" เพื่อต่อต้านการกลับเข้ามาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2488 - 2499 ทําให้เวียดนามต้องกลายเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีสงครามยืดเยื้อยาวนานและไม่จบสิ้น การเอาชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูสําเร็จนําไปสู่การเจรจาสงบศึก จากสงครามนี้เวียดนามถูกแบ่งแยกออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่บริเวณเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ
นปึกแผ่น ปรับปรุงการทหาร ปฏิรูปที่ดิน และเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับตะวันตก ฟื้นความรู้สึกรักชาติเป็นอิสระ วางแผนประเพณีราชสํานักแทนที่แบบจีนฮั่น แต่เขาตายอย่างกะทันหันในพ.ศ.2335 ขณะมีอายุเพียง 39 ปี ลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบจึงไม่สามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจัดสร้าง พิพิธภัณฑ์กวางจุง ที่หมู่บ้านไตเซิน บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลเหวียน พิพิธภัณฑ์สร้างในปี พ.ศ.2522 จัดแสดงร่องรอยของชีวิตและผลงานกษัตริย์กวางจุงเมื่อเกิดกระแสการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ไตเซินและพื้นที่ใกล้เคียง วีรกรรมการสู้รบของเหวียน เว้และพี่น้อง รวมทั้งภาพจิตรกรรมชิ้นหนึ่งที่ถือว่าเป็นวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของสองประเทศคือสยามและเวียดนามเป็นภาพเรือพายอนันตนาคราชซึ่งเสมือนสัญลักษณ์ของกรุงสยาม ที่เรารับรู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ส่งทัพเรือไปช่วยรบ ถูกกองเรือท้องถิ่นตีแตกพ่ายทําลายในน่านน้ำทะเลเวียดนาม อันเป็นการบ่งถึงประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของผู้เฝ้ามองจากภายในซึ่งอาจจะผิดหรือถูกในข้อเท็จจริงก็ได้ แต่ที่สําคัญคือ ภาพเขียนเหล่านั้นได้ทําหน้าที่แสดงออกอย่างเงียบๆ ในการกระตุ้นความรักชาติให้ก่อเกิดแก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวเวียดนามทั้งหลายและนอกจากนี้ พื้นที่บริเวณโดยรอบนอกจากอนุสาวรีย์กษัตริย์กวางจุงนําทัพซึ่งอยู่ด้านหน้าแล้ว ข้างๆ อาคารพิพิธภัณฑ์คือศาลเจ้าของตระกูลเหวียนและอนุสรณ์ที่รําลึกอื่นๆ เช่น ต้นมะขามอายุกว่าสามร้อยปี บ่อน้ำ สวนส้มของเหวียน เว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นไม้ต้องใช้การจัดแสดงแต่อย่างใด ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ก็เพื่อให้เห็นชีวิตคนธรรมดาที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีอภินิหารเหนือมนุษย์ เพราะนี่คือกษัตริย์ชาวบ้านที่แข็งแกร่งพอจะเป็นผูนําการปลดปล่อยชาวนาที่ทุกข์ยากซึ่งเป็นผู้คนพื้นฐานของประเทศและสามารถรวมชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวการยึดครองเวียดนามจนกลายเป็น "อินโดจีนของฝรั่งเศส" ระหว่าง พ.ศ. 2401-2483 และการเข้ายึดครองโดยญี่ปุ่นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกว่า 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2483-2488 จนกระทั่งเกิด "สงครามอินโดจีน" เพื่อต่อต้านการกลับเข้ามาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2488 - 2499 ทําให้เวียดนามต้องกลายเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีสงครามยืดเยื้อยาวนานและไม่จบสิ้น การเอาชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูสําเร็จนําไปสู่การเจรจาสงบศึก จากสงครามนี้เวียดนามถูกแบ่งแยกออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่บริเวณเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ ผู้นําสําคัญอีกท่านหนึ่งของเวียดนามคือ "โฮจิมินห์" เลือกที่จะใช้ระบบสังคมนิยมแก่เวียดนามเหนือหรือเวียดมินห์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่พยายามทําอย่างเดียวกับกษัตริย์กวางจุง นั่นคือการรวมเวียดนามและสิ่งที่ประสงค์ที่สุดคือ "เวียดนามต้องเป็นหนึ่งเดียว"ความพยายามรวมชาติของ "ลุงโฮ" ยังไม่เป็นผลสําเร็จ จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาขยายการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย สงครามเวียดนามจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หนักหนาและปวดร้าวเกินกว่ามนุษย์จะกระทําต่อมนุษย์ด้วยกันเมื่ออเมริกาแพ้สงครามถอนทัพกลับไป เวียดนามยังคงทําสงครามเพื่อต่อต้านการเข้ามาของเขมรแดงตามแนวชายแดนจึงมีการบุกเข้าไปในกัมพูชา จนถึงปัจจุบัน เวียดนามเริ่มฟื้นจากสงครามอันยาวนาน พยายามสร้างความปรองดองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลากหลายแก่ผู้คนมากกว่า 50 ชาติพันธุ์ และในที่สุดก็เริ่มรับระบบและค่านิยมบางอย่างจากตะวันตกอย่างช้าๆในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเวียดนาม กษัตริย์กวางจุง ผู้นํากบฏไตเซินคือวีรบุรุษชาวนาผู้รวมประเทศเวียดนามได้ครั้งแรกอย่างแท้จริง ส่วนลุงโฮ หรือโฮจิมินห์ ผู้ที่ชาวเวียดนามทุกคนต้องมีรูปท่านประดับบ้านไว้เสมอคือผู้พยายามรวมชาติเวียดนามคนต่อมาจากประสบการณ์ของการถูกกดขี่และความแตกแยกภายในชาติโดยถูกรุกรานจากผู้อื่น สิ่งที่ชาวเวียดนามตระหนักก็คือวีรบุรุษย่อมคู่กับความรักชาติเสมอและวีรบุรุษของเวียดนามนั้นแสวงหา "อิสรภาพ เสรีภาพ และความสุข"หรือ Độc lập – Tự do – Hạnh phúc=ดอบ หลับ ตื่อ ยอ หั่น ฟุ๊ก อันเป็นอุดมคติอันสูงสุด เป็นคำขวัญของประเทศ และในหนังสือราชการ หัวบรรทัดแรกเขาจะใส่คำขวัญนี้ทุกครั้งเสมอ
ที่มา:http://www.lek-prapai.org
Sunday, August 26, 2007
How Come Saigon Part I
Tortoise Fountain หรือ วงเวียนน้ำพุหลังเต่า ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโฮจิมินห์ จุดที่ถนนPham Ngoc Thach, Vo Van Tan และ Tran Cao Van ตัดกันเป็นวงเวียน ด้านหลัง ไดม่อนพลาซ่า ห่างโบสถ์Notre Dame ไป 200 เมตร น้ำพุหลังเต่านี้มีประวัติคู่กับเมืองนี้มาแต่ช้านาน ถูกสร้างโดยชาวฝรั่งเศสเมื่อปี คศ.1879 โดยเป็นหอคอยถังเก็บน้ำประปา 100 ลบ.ม. มีเสา 8 ต้นวางแปดเหลี่ยม รับถัง ความสูงกว่า 20 เมตร บนยอดหอคอยปูกระเบื้อง รูปแบบโครงสร้างการออกแบบสะท้อนความเป็นไข่มุกตะวันออก อันเป็นที่มาของชื่อเมือง "ไซง่อน" ในขณะนั้น ถ้าใครได้มีโอกาส เห็นโปสการ์ดเก่าๆ ชื่อไซง่อน ได้มีการเรียกกันภายหลังปีศตวรรษที่ 19 ทีนี้คงทำให้เพื่อนๆหลายคนทราบที่มาของชื่อเมืองนี้ รวมทั้งเพลงยอดนิยม Saigon Dep Lam ในเวลาต่อมา นะครับต่อมาใน ปี คศ. 1921 หอแห่งนี้ได้ถูกทำลายลงโดยเนื่องจากสาเหตุที่ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นแบบแปลนทางสถาปัตยกรรม และรายการประกอบแบบการก่อสร้างที่สูญหาย เดิมต้นฉบับแบบแปลนนั้นเอามาจากกรมทหารเรืออังกฤษ แบบได้ถูกส่งไปให้ผู้ว่าการทำเนียบรัฐบาล ส่งต่อไปยังรัฐมนตรีสาธารณสุข สุดท้ายไปยังหน่วยงานท้องถิ่น เป็นไปได้ว่าได้สูญหาย เสียหายจากการขนส่ง หรืออาจถูกมอดปลวกทำลายในห้องเก็บพัสดุ เหตุหลักน่าจะเป็นโครงสร้างที่แตกหักจนเกินที่จะซ่อมแซม แบบแปลนที่สูญหายไป การกักเก็บน้ำประปาไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น คงเป็นอย่างนั้นมากกว่า
หลังจากที่หอนี้ได้ถูกทุบทิ้ง จนในปี คศ.1927 สภาเทศบาลเมืองไซง่อนได้ทำเป็นถนนวงเวียนตั้งชื่อว่า Marechal Joffre Square เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ระลึกถึงการสูญเสียในสงครามโลกปี 1914-1918
ต่อมาในปี 1972 รัฐบาลเวียตนามใต้ได้กลับมาบูรณะแยกดังกล่าวเพื่อเป็นที่ระลึกถึงความร่วมมือของนานาประเทศที่สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลเวียตนามใต้ในขณะนั้น โดยกลางน้ำพุนั้น เป็นเสาสูง20เมตรห้าต้น เปรียบเหมือนความร่วมมือห้าพันธมิตรดั่งต้นปาล์มห้าต้นค้ำชูลูกโลก ข้างๆเสาทั้งห้าจะเป็นหลังคาทรงหลังเต่าทำด้วยทองแดง โดยด้านบนจะมีแผ่นหินจารึกประเทศพันธมิตรที่ช่วยเหลือเวียตนามใต้ในขณะนั้น(คิดว่าคงมีประเทศไทยด้วยนะ เพราะเราก็ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือเขาในขณะนั้น) รวมทั้งมีบันไดสามสิบขั้นโดยมีชานพักบันไดทุกสิบขั้น ทางด้านใต้ของสระน้ำพุถูกยกพื้นเป็นแท่นสูงขึ้นห้าเมตร เพื่อแยกเป็นส่วนของสววรค์และโลกมนุษย์ ซึ่งต่างจากแท่นบวงสรวงของ Nam Giao ที่เมืองเว้(Hue) โดยรูปทรงของแท่นที่ยกสูงนี้จะกลมก็ไม่เชิงเหลี่ยมก็ไม่ใช่ แต่จะเป็นทรงรี สองแกนสิบสองเมตรและเจ็ดเมตร แท่นนี้รับโดยเสาเดี่ยว มีเสาแปดต้นล้อมรอบ บนแท่นจะแท่นบูชาสูงหนึ่งเมตรหันไปทางด้านเหนือ
เมื่อสร้างแล้วเสร็จ แต่ยังไม่ได้ส่งมอบงานเนื่องจากชาวเมืองไซง่อนรู้สึกว่าเสาห้าต้นที่แบเหมือนมือที่ขอความช่วยเหลือ ทำให้ไม่เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวเมือง ดังนั้นรัฐบาลจึงทำการดัดแปลงเสาและมือดังกล่าวด้วยการเปลี่ยนเป็นรูปกลีบดอกไม้ยี่สิบห้าแฉก จนเป็นโครงสร้างดังได้เห็นในปัจจุบัน
ต้นเดือนเมษายนปี 1976 หรือหลังจากเมืองไซง่อนถูกปฏิวัติ วงเวียนดังกล่าวได้ถูกลอบวางระเบิดเมื่อประมาณ สองทุ่ม มีชายหนุ่มเสียชีวิตหนึ่ง อีกสี่คนบาดเจ็บ หลังคาทองแดงหลังเต่าเสียหาย โดยทางตำรวจสรุปว่าเป็นการก่อวินาศกรรมล้มรัฐบาลของชายหนุ่มดังกล่าว ที่ตั้งระเบิดไดนาไมค์ไว้บนหลังเต่านั้นเอง
ต้นเดือนเมษายนปี 1976 หรือหลังจากเมืองไซง่อนถูกปฏิวัติ วงเวียนดังกล่าวได้ถูกลอบวางระเบิดเมื่อประมาณ สองทุ่ม มีชายหนุ่มเสียชีวิตหนึ่ง อีกสี่คนบาดเจ็บ หลังคาทองแดงหลังเต่าเสียหาย โดยทางตำรวจสรุปว่าเป็นการก่อวินาศกรรมล้มรัฐบาลของชายหนุ่มดังกล่าว ที่ตั้งระเบิดไดนาไมค์ไว้บนหลังเต่านั้นเอง
ปัจจุบันนี้ แม้จะไม่มีเต่าอยู่ที่นั่น แต่ชื่อวงเวียนน้ำพุหลังเต่ายังคงอยู่ มีชีวิตชีวายามค่ำคืน รอบๆมีทั้งค๊อฟฟี่ชอ๊ป ขายของที่ระลึก ร้านรวงต่างๆมากมาย ขึ้นชื่อเรื่องไอศครีมโดยเฉพาะรสกะทิ บริเวณรอบนอกน้ำพุมีต้น โอ๊ค(golden oak) จำนวนมาก มีอายุนับหลายปี ผลของมันจะมีปีกสองข้างเวลาร่วงจะหมุนควงลงมาช้าๆลงดิน ในช่วงฤดูดอกไม้บาน มันจะส่งกลิ่นหอมหวลเวลาผ่านบริเวณนี้
ที่มา:Saigon Times(EN)
Friday, August 17, 2007
VietKieu(Yuan) in Thailand Part I

ประวัติชนชาวญวน / เวียตนาม / อานัม / แกว ในประเทศไทย
ชาวญวน หรือ ที่ชาวอีสานเรียกว่า "แกว"ชนชาติหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของประเทศจีน และทางทิศตะวันออกของประเทศลาวและ เขมรคนกลุ่มนี้ มีอุปนิสัยขยันขัน แข็งในการทำมาหากิน จนมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่นคงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในอดีตได้มีการติดต่อค้าขายกับ ชาวลาวในประเทศลาว และภาคอี สานมานานแล้วและหลังสงคราม โลกครั้งที่สอง เมืองญวนดิ้นรนที่จะเป็นอิสระจากฝรั่งเศส ญวนในภาคเหนือบริเวณเมืองเดียนเบียนฟูได้หนีภัย การเมืองเข้ามาอยู่ในภาคอีสานจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจังหวัดนครพนม สกลนคร เลย อุบลราชธานี หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ระหว่าง พ.ศ. 2489-2492 พวกนี้มักประกอบอาชีพค้าขาย และทำให้อาหารญวนบางชนิดเป็นที่นิยม เช่น ข้าวเฝอ เป็นต้น บ้านชาวญวนส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนบริเวณโคกดิน ลักษณะเหมือนเป็นเกาะเล็กๆ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังคงพูดภาษาเวียดนาม ในการสื่อสารระหว่างกลุ่ม ซึ่งอาศัยอยู่ตามอำเภอใหญ่ๆ ของจังหวัดสกล นครนั้นได้อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นกลุ่ม 4 ระยะ คือ
(1) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในสมัยอยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ ในสมัยอยุธยา ปรากฎว่ามีหมู่บ้านญวนอยู่ในกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช (2199-2231) จำนวนคนญวนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีประมาณ 5,๐๐๐-8,๐๐๐ คน โดยตั้งรกรากตามสถานที่ต่างๆ คือ อยุธยา จันทรบุรี พาหุรัด(ย้ายไปสามเสน) บางโพ จันทรบุรี สามเสน กาญจนบุรี โดยที่ชาวญวนที่นับถือคริสต์ศาสนาจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดจันทรบุรี ส่วนพวกที่นับถือพุทธศาสนาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กาญจนบุรี
(2) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด ชาวคนเวียดนามจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาอยู่ประเทศลาว ประเทศเขมร และประ เทศไทย ในประเทศไทยชาวเวียดนามอพยพเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม สกลนคร อุทัยธานี หนองคาย สุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ และปราจีนบุรี สำหรับชาวเวียดนามที่มาอาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร นั้นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยสรุปได้เข้ามา 3 จุดดังนี้
2.1 ทางสะหวันนะเขต สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด มุกดาหาร อุบลราชธานี สกลนคร หนองคาย อุดรธานี นครพนม
2.2 ทางเวียงจันทร์ สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยที่จังหวัดหนองคาย สกลนคร
2.3 ทางท่าแขก สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด นครพนม สกลนคร
2.2 ทางเวียงจันทร์ สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยที่จังหวัดหนองคาย สกลนคร
2.3 ทางท่าแขก สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด นครพนม สกลนคร
(3) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาอยู่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการสู้รบระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ ชาวเวียดนามจึงอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 48,๐๐๐ คน ซึ่ง ขจัด บุรุษพิพัฒน์ (2521) กล่าวว่า ภายหลังจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาบริหารประเทศ ในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมชาวเวียดนามอพยพ อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ 15 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์ เลย อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ซึ่งชาวเวียดนามอพยพจะอาศัยอยู่นอกเขต 15 จังหวัดนี้ไม่ได้
พ.ศ. 2493 ให้ชาวเวียดนามอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยบังคับให้เดินทางไปยังจังหวัดควบคุมใหม่ ภายใน 1 เดือน คือ หนองคาย สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี พ.ศ.2496 รัฐบาลไทยได้จัดส่งหัวหน้าชาวเวียดมนามในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม ไปไว้ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2503 อนุญาตให้ชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่กำหนดเขต 8 จังหวัด คือหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง
พ.ศ. 2493 ให้ชาวเวียดนามอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยบังคับให้เดินทางไปยังจังหวัดควบคุมใหม่ ภายใน 1 เดือน คือ หนองคาย สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี พ.ศ.2496 รัฐบาลไทยได้จัดส่งหัวหน้าชาวเวียดมนามในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม ไปไว้ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2503 อนุญาตให้ชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่กำหนดเขต 8 จังหวัด คือหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง
(4) ชาวเวียดนามอพยพที่เข้ามาอยู่ในช่วงสงคราม เวียดนามเหนือ-ใต้ เป็นกลุ่มชาวเวียดนามอพยพ ประมาณ 2,๐๐๐-3,๐๐๐ คน ส่วนใหญ่จะไปอาศัยอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ถิ่นที่อยู่เดิมชาวญวนอพยพ ที่เดินทางมาที่ประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะมาจากเวียดนามตอนกลาง และข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย ทางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ จังหวัดสะหวันนะเขต จังหวัดเวียงจันทร์ และ ท่าแขก ชาวญวนอพยพจะอยู่กระจายกันในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามหัวเมือง ในปี พ.ศ.2503 ชาวเวียดนามอพยพที่เดินทางเข้ามาที่ จ.สกลนคร นั้น มีชาวเวียดนามบางส่วน ได้กลับประเทศเวียดนามแล้วแต่ยังคงเหลือตกค้างอยู่ เนื่องจากเกิดสงครามเวียดนามเหนือเวียดนามใต้ โดยในขั้นต้นชาวเวียดนามอพยพอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศูนย์ประสานงาน กอ.รมน. และสำนักงานกิจการญวนอพยพ กำหนดให้ชาวเวียดนามอพยพเหล่านี้อยู่ในเขตควบคุม 8 จังหวัด คนเวียดนามได้รับการดูแล การจัดทำทะเบียนประวัติ การศึกษา การปลูกฝังให้มีความรู้ความเป็นคนไทย สามารถผสมผสานกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทยจนในที่สุดก็มีชาวเวียดนามจำนวนมากได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลไทยให้ได้สัญชาติไทย โดยเรียกว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” อยู่อาศัยมานานจนได้รับเชื้อชาติไทย ปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ป ระกอบอาชีพข้าราชการ นักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น มีบทบาทต่อการปกครอง และเศรษฐกิจของจังหวัด ในปี พ.ศ. 2545 คนเวียดนาม อพยพที่ได้รับสัญชาติไทยแล้ว ที่อาศัยอยู่ในเมืองสกลนคร ทั้งสิ้น 1,851 คน จากการที่ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามได้อาศัยอยู่อย่างกลมกลืนกับชาวไทยในจังหวัดสกลนคร และ จังหวัดใกล้เคียง มานาน 6๐ ปี แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งทางด้านภาษา สังคม วัฒนธรรม
ที่มาhttp://www.surinmajestic.net
Subscribe to:
Comments (Atom)