หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)
Showing posts with label lifestyle. Show all posts
Showing posts with label lifestyle. Show all posts

Saturday, October 20, 2007

ชื่อสะพานที่มาของวีรกรรม

สะพานNguyen Van Troiหรือสะพาน Cong Lyเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งบนเส้นทางจากสนามบินTan Son Nhat ก่อนเข้าสู่ตัวเมืองโฮจิมินห์ นับจากลงเครื่องเราสามารถนั่งรถแท๊กซี่ เราต้องผ่านถนนTruong Son ถนนNguyen Van Troi ถนนNam Ky Khoi Nghiaก่อนเข้าสู่ถนนLe Loi อันเป็นใจกลางเมืองไซง่อน
ถ้าเราวิ่งบนถนนNguyen Van Troi ผ่านเขตPhu Nhuan สังเกตว่าจะต้องผ่านสะพานแห่งหนึ่งก่อนที่จะถึงถนนNam Ky Khoi Nghiagในเขตสาม และมั่นใจได้เลยว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแรกที่คุณต้องผ่านนับแต่คุณมาเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ สะพานนี้มีชื่อว่าสะพาน Nguyen Van Troi แต่ชาวเมืองไซง่อนจะเรียกว่าสะพานCong Ly มีความยาวเพียงแค่ 100 เมตรเชื่อมระหว่างสองตลิ่งคือ Nhieu Loc-Thi Nghe Arroyo(ช่องแคบของคลอง-คำฝรั่งเศสผสมสเปน) สะพานได้สร้างขึ้นไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และเป็นสถานที่สำคัญก่อนเข้าเมืองโฮจิมินห์


เมื่อปี คศ 1960 สะพานCong Ly มีข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศได้เสนอข่าวเกี่ยวชายคนหนึ่ง ซึ่งภายหลังก่อให้เกิดชนวนสงครามการปฏิวัติเวียตนามใต้ขึ้น ในช่วงสงครามเวียตนาม เขาชื่อว่า Nguyen Van Troi(เหวียง วัง เจ่ย) ถูกจับกุมโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงภายในรัฐบาลเวียตนามใต้ ข้อหาพยายามลอบสังหารนาย Robert Mcnamara เลขาฯความมั่นคงของสหรัฐ โดยการวางระเบิดสะพานCong Ly เมื่อครั้งมาเยือนไซง่อน ต่อมานาย Troi ก็ถูกยิงเป้าประหารชีวิต 15 ตุลาคม 1964 โดยชื่อของเขายังคงเป็นที่จดจำ จนกระทั่งภายหลังการรวมประเทศ ในปี 1975 สะพาน Cong Ly จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นสะพาน Nguyen Van Troi เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงวีรกรรมของเขา


เนื่องจากการจราจรที่คับคั่ง จนเมื่อปีที่ผ่านมาสะพานนี้ได้ถูกปิดเพื่อทำการปรับปรุง โดยการสร้างสะพานเสริมขึ้นมาสองสะพานเพื่อระบายการจราจรชั่วคราว แต่ก็ยังแคบเกินกว่าที่จะระบายการจราจร ซึ่งอาจจะไม่ค่อยประทับใจนักท่องเที่ยวที่มาโฮจิมินห์ในครั้งแรกกับเหตุการณ์อย่างนี้ แต่นี่คือเมืองโฮจิมินห์ แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นช่วงครบรอบวันประกาศอิสรภาพปีที่ 62 ส่วนหนึ่งของสะพานได้เปิดใช้ หลังจากการขยายถนนกว้างขึ้นทั้งเส้นNguyen Van Troi และ Nam Ky Khoi Nghia ทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น โดยสะพานจะเปิดใช้งานได้จริงต้นปีหน้า 2008 ถ้าหากสังเกตให้ดีช่วงผ่านสะพานด้านขวามือช่วงต่อเขตสามและเขตหนึ่ง จะมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าVinh Nghiem ที่นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเยี่ยมชมและรับฟังเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในไซง่อน


ที่มา:SaigonTimes(EN)

Sunday, May 13, 2007

Critical Time

ปลายปี 2003 ผมไปทำงานที่โฮจิมินห์ ช่วงที่กำลังมีการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 22 แต่ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาไปดูกับเขาหรอกเพราะติดทำงาน กีฬาที่นิยมกันในหมู่คนที่นั่นแบ่งเป็นหลายวัย อย่างวัยรุ่นไม่ต่างจากบ้านเราคือชอบแทงบอล เตะบอล(đá bóng=ด๊า บัน) ตอนตีห้าผมเคยออกไปวิ่งที่สวนสาธาณะติดกับโบสถ์แถวเจอะเลิ้น(เขต5ไชน่าทาวน์) มีคนสูงอายุ มาออกกำลังกาย (thể dục =แถ หยุบ) เยอะมาก วิ่งบ้าง เดินบ้าง รำไท๊เก็กบ้าง รำกระบี่ก็มี บ้างก็เตะลูกขนไก่(chơi cầu =เจย เก่า)เตะก็คล้ายเตะตะกร้อ แต่เขตโบสถ์เขาไม่อนุญาต(ดึ่ง เจย เก่า)ให้เล่นนะครับ ไอ้เจ้าเตะลูกขนไก่นี่เห็นเล่นกันได้ทุกวัยเลยและเห็นทุกที่ ถึงว่าปีนี้ตะกร้อหญิงเวียตนามถึงได้แชมป์ซีเกมส์ที่ผ่านมาที่ฟิลิปปินส์ ส่วนเต้นแอร์โรบิค ผมไม่เคยเห็นนะครับ



มาว่าถึงซีเกมส์ครั้งที่ผมอยู่ดีกว่า สัญลักษณ์ปีนั้นเป็นควาย ควาย(con trâu =กอน เจา)นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ ถ้าเป็นบ้านเราคงเป็นช้างนะครับ โรงแรมเฟืองนำที่ผมได้ไปพักหน้าโรงแรมก็ยังมีรูปปั้นเด็กเลี้ยงควายเลย แต่ที่เหมือนกับบ้านเราก็คือพบเจอควายกันน้อยมาก ต้องไปชนบทไกลเมืองถึงจะเห็นว่ามี ตอนนั้นมีฟุตบอลทีมไทยเรามาแข่งรอบคัดเลือก แต่ใกล้รอบชิงก็ไปแข่งที่ฮานอย เพื่อนหลายคนก็บ่นเหมือนกันว่าเมืองโฮจิมินห์เหมือนลูกเมียน้อย กีฬาโปรดปรานก็ไปแข่งที่ฮานอยหมดรวมทั้งฟุตบอลที่พวกเขาชื่นชอบด้วย วันนั้นเป็นวันศุกร์จำได้ว่าเป็นรอบก่อนรองชนะเลิศทีมชาติเวียตนามแข่งกับมาเลเซีย(=มา ลาย)เย็นวันนั้นเวียตนามชนะซะด้วย เกิดจราจลขึ้นทั่วเมืองโฮจิมินห์ฝูงมอเตอร์ไซต์แสดงความดีใจกันอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตำรวจก็ไม่กล้ายุ่ง ทั้งเมาเหล้าเมามันส์โห่ร้องถือธงชาติปลิวสะบัดเต็มท้องถนน เพื่อนที่ทำงานบอกผมว่าอยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้รถติดมาก วันนั้นก็เลยงดเข้าไปกินเหล้าในเมือง เช้าวันต่อมามีข่าวลงว่ามีอุบัติเหตุจากการฉลองดังกล่าวเกิดทั่วไปส่วนมากจะเป็นเมาแล้วขับ คืนนั้นกลับไปถึงโรงแรมที่พักกว่าสี่ทุ่มไฟโรงแรมก็ดับอีก จำได้ว่าไฟดับเดือนละสามสี่ครั้งทั้งกลางวันและกลางคืน ถามคนที่นั่นเองเขาว่าเป็นเรื่องปกติ พักหลังชักถี่ แถวที่ผมพักรายรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่าสี่ห้านิคมซึ่งใช้ไฟกันเยอะจริงๆ ปากทางนิคมก็มีแต่เครื่องปั่นไฟGenerator(máy phát điện =ไม๊ ฟัก เด๋ง) คิดว่าปัจจุบันคงดีขึ้น เพราะมีการสร้าง PowerPlant ขึ้นหลายที่แล้ว



ทีนี้พอรอบชิงก็คู่ไทยกับเวียตนามแต่ไปแข่งที่สนามฮานอย วันนั้นชวนเพื่อนร่วมงานหลายคนไปร่วมชมที่ร้านอาหารในโรงแรมคนเต็มทุกโต๊ะ ครึ่งแรกยังเสมอ พอครึ่งหลังก่อนหมดเวลาไทยจบชนะที่สองศูนย์(=จิ๊ง ทั้ง) วันนั้นมีผมเฮอยู่คนเดียว ทำเอาเสียวเหมือนกันเพราะผมเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่นั่งดู วันนั้นหลังจากเพื่อนกลับ ผมกับเพื่อนอีกคนชื่อแคง ก็ถือโอกาสขี่รถชมรอบเมืองคืนนั้น พบว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าเงียบสงัดผิดกับครั้งที่ชนะมา-ลาย จริงๆ

Friday, April 13, 2007

Happy Marry at Ha Tinh Province

วันนี้ต้องขอแสดงความยินดี กับหนุ่มไทยที่ได้ไปแต่งงานกับสาวห่าติ๋ง(รูปถ่ายประกอบเป็นงานแต่งเพื่อนผมครับที่บิงห์ฮวา จ.ดองนาย) ทีนี้คงมีหลายคนสงสัยว่ามันอยู่ไหนกัน มาว่าถึงจังหวัดนี้ดีกว่าว่าเป็นยังไง

จังหวัดห่าติ๋ง(Hà Tĩnh)เป็นจังหวัดชายฝั่งอยู่ทางภาคเหนือ แต่อยู่ทางใต้กรุงฮานอย ทิศเหนือติดจังหวัดแหง่อาน ทิศใต้ติดจังหวัดกวางบิ่นห์ ตะวันออกติดลาว ฝั่งตะวันออกเป็นทะเลจีนใต้ มีเนื้อที่ 6,056 ตร.กม. ประชากร 1,286,700 คน ประกอบด้วย อำเภอเมืองสำคัญสองเมือง และอำเภอ อีก 10 อำเภอ


1. Hà Tĩnh
2. Hồng Lĩnh town
3. Cẩm Xuyên
4. Can Lộc
5. Đức Thọ
6. Hương Khê
7. Hương Sơn
8. Kỳ Anh
9. Nghi Xuân
10. Thạch Hà
11. Vũ Quang
12. Lộc Hà พึ่งตั้งใหม่ อยู่ระหว่างCan Lộc และ Thạch Hà

เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญตั้งแต่อดีตมา มีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจเนื่องจากมีหลายชนเผ่าอย่างหลักก็คนเวียต เผ่าไทย(น่าจะเป็นไทยภูเขา พูดภาษาคล้ายภาคเหนือบ้านเฮา) เผ่าจู๊ด(Chứt,พูดภาษาลาว) เผ่าม้ง(Mường,พูด ภาษาม้ง) และเป็นบ้านเกิดของกวีรวมทั้งบุคคลสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เวียตนามกว่าสิบท่าน

นอกจากทิวทัศน์ธรรมชาติ ยังมีน้ำตกVũ Môn สวนพฤกษ์ศาสตร์Vũ Quang ทะเลสาบKẻ Gỗ น้ำพุร้อนSơn Kim ช่องเขาĐèo Ngang วัดHương Tích และหาดทรายที่สวยงามกว่าห้าแห่งเลียบไปตามถนนหลวงสาย 1A และสาย 8


ที่มา:วิกิพีเดีย

Sunday, April 1, 2007

Life on Motocycle


วันนี้มีคำสนน่าใจมาเสนอ "Trơi ơi "
Trơi ơi หรือ เจ่ย เอย เป็นคำสบถ บ่นพึมพำ เหมือนอย่างที่คนไทยเราบ่นกันว่า "โถ่ เอ้ย" ผมค่อนข้างได้ ยินคนเวียตบ่นบ่อยมากมาก เวลามีเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง เป็น หรือ จะแปลว่า "ซวย แล้ว ตู" "ไม่น่า เลย" หรือ"อะ -ไร ฟ่ะ" อย่างเวลา เจอตำรวจตรวจใบขับขี่งี้ อย่างผมค่อนข้างชอบขับรถกินลมบ่อยๆ แถวเขตหนึ่งโฮจิมินห์บ่อยๆ ช่วงที่อยู่ที่นั่น จุดตรวจที่นั่นผมไม่ได้เห็นว่ามีการตั้งป้ายหยุดตรวจกันหรอก บางจุดค่อนข้างลับตา พอจะบอกเป็นแนวทางได้ หลักๆก็ แถว บริเวณวงเวียนตีนสะพานเดียนเบียนฟู(=เก่า เดี่ยน เบียน ฟู๋) ตรงนี้เป็นวันเวย์บางคนย้อนศรก็โดนครับ แต่ที่ตำรวจจราจรตั้งด่านเห็นบ่อยๆก็บริเวณเส้นทางหัวโค้งถนนโตง ดึ้ก ทั้ง (แถวแยกไป ผับนัมเบอร์วัน ถนนเล ทั้น โตง) เพราะตรงนั้นค่อนข้างมืดหลบมุมดี ผมเจอทีไรต้องหลบเข้าถนนโงว ฟวัง นำ ทุกที(ถ้ามาช่วงกลางวัน ก็ลองแวะตัดผมได้ไม่ไกลโรงแรมRegend เป็น Footpath Hair cut) ส่วนที่อื่นๆก็ตามวงเวียนต่างๆโดยมากจะตรวจทุกต้นเดือนเหมือนบ้านเรา ถ้าออกนอกเมืองก็เตรียมสวมหมวกกันน๊อกหรือหมวกเซฟตี้ก่อสร้างก็ได้ ถ้าไม่มีเขาจะมีจุดให้เช่า ราคา 50.000 ด่อง หรือ เตรียมเงิน 100.000 ด่อง จ่ายค่าปรับกันเอง ฮ่า...โดยมากคนเวียตบ้านนอกจะโดนบ่อย สังเกตไม่ยาก ลองดูที่ป้ายทะเบียน อย่างในเขต อย่างในเมืองแถวแรกของป้ายที่เห็นจะเป็นเลข 51-,52-,53- เวลากลับบ้านช่วงตรุษก็ขนกลับไปบ้านด้วย หลังตรุษก็ขนกลับมาเก็บค่าขนส่งเท่ากับเดินทางหนึ่งคน(แพงครับ แต่จำเป็น) ส่วนรถยนต์ก็เช่นเดียวกัน นอกเหนือจากติดป้ายทะเบียนแล้ว ยังต้องติดป้ายสติ๊กเกอร์เลขทะเบียนรถไว้ที่ด้านข้างรถด้วยทั้งสองฝั่ง เพราะเอาไว้ป้องกันการก่ออาชญากรรม หรือชนคนแล้วหนี ตามจับจะได้ง่าย(แค่ขับในเมืองคงหนียากเพราะรถติด) ส่วนรถมอไซต์ที่ผมใช้ ป้ายมันปลอมจากขนส่งครับ วิธีการสังเกตว่าปลอมหรือไม่ให้ดูที่ ลายปั๊มนูนของขนส่งเวียตนามวงขนาดเท่าเหรียญบาทไทย เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ เพราะถ้าโดนตรวจก็หลายกระทงครับ ฮ่า...ป้ายก็ขาวดำเหมือนบ้านเรา แต่รถยนต์ก็มีต่างกันบ้าง สีอะไร และการนั่งแท๊กซี่ที่ต้องระวังอะไรบ้าง เป็นอย่างไรคงมาต่อกันคราวต่อไปครับ เพื่อนเวียตผมคนหนึ่งมีแนะนำอย่างไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ว่า ถึงแม้ว่าทุกคนจะขับขี่อย่างถูกกฎจราจร ยังไงก็ต้องโดนจับปรับปีนึงก็อย่างน้อยสองสามครั้ง อันนี้ยืนยันได้ เพราะเพื่อนเวียตคนนี้ขี่รถมอไซต์จนเข้านอน ICU มาแล้ว จริงจริง ฮ่า...

Wednesday, December 20, 2006

Fish Story in Nha Trang


ก๊า ซา บา(ปลาซาบะ) หายไปไหน? วันนี้อาจจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่แปลกๆ คำถามนี้เป็นคำถามของเด็กคนหนึ่งที่ถามผู้เฒ่าที่เคยอาศัยอยู่ เมือง Nha Trang จ.Khanh Hoa ภาคกลางตอนใต้ประเทศเวียตนาม ผู้เฒ่าเล่าต่อว่า ปัจจุบันปลาซาบะย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นหมดซะแล้ว ทำเอาผมและเด็กที่นั่งฟังงงไปเหมือนกัน ก็เลยคิดไปว่าผู้เฒ่าคงจะเล่าติดตลกให้ฟัง แต่เขาก็ยืนยันว่าเป็นความจริง ผมจึงได้สอบถามสาเหตุแต่ในใจก็ไม่ได้ปักใจเชื่อหรอก ผู้เฒ่าบอกกับเราว่า เดิมแต่ก่อนชายหาดที่เมืองยาจางนั้นยาวและสวยงาม มีทรายที่เนื้อละเอียดขาวสวยตลอดแนวชายหาด ผู้เฒ่าเล่าจนผมเองก็เห็นภาพ สักพักแกก็ถอนหายใจส่ายหัวไปมา เล่าต่อว่า เมื่อประมาณตอนเกิดสงความเอเชียบูรพา ตอนที่ญี่ปุ่นยกทัพแผ่ขยายแสนยานุภาพไปทั่วเอเชียตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้นั้น ทัพญี่ปุ่นได้บุกขึ้นที่เวียตนามเช่นกัน ทหารญี่ปุ่นได้พบว่าหาดที่เมืองนี้มีความขาวสวย เหมาะในการนำไปทำวัสดุอย่างแก้ว หรืออื่นๆในเชิงอุตสาหกรรม จึงได้เอาเรือมาขุดขนทรายออกไปประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก ทำให้พื้นที่หาดมีการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งกระแสน้ำ สิ่งมีชีวิต อย่างปลาซาบะที่เคยชุกชุมอุดมสมบูรณ์ ก็เปลี่ยนเส้นทางหากินไปตามกระแสน้ำและไม่แวะกลับมาที่หาดดังกล่าว เหมือนอย่างแต่ก่อน ฟังแล้วก็เป็นเรื่องแปลกดี ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่ก็น่าจะเป็นไปได้ ขนาดสึนามิบ้านเรายังเกิดเลย ก็ฟังหูไว้หูแล้วกัน

Monday, November 13, 2006

12 ราศี(Vietnam Zodiac)


วันนี้จะขอกล่าวถึงสิบสองราศีแบบเวียตนาม โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าวัฒนธรรมโดยรวมของเวียตนาม จะคล้ายคลึงของจีน การนับปีตามปฏิทินก็เช่นกัน ชาวเวียตนามส่วนมากทั้งที่อาศัยในประเทศและต่างประเทศ จะยึดเอาระยะเวลาการโคจรของดวงจันทร์(mặt trăng=หมัด จรัง)หรือระบบจันทรคติ เพื่อใช้ดูช่วงระยะเวลาและวันต่างๆ ตามประเพณี เทศกาล ดูฤกษ์งามยามดี และวันจัดงานศิริมงคลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงระยะเวลางานเฉลิมฉลองวันปีใหม่เวียตนาม(Tết=เต๊ด) ซึ่งแต่ละปีมีวันและช่วงเวลาไม่ตรงกัน ในปีหนึ่งนั้นการเริ่มต้นเปลี่ยนฤดู ก็คือช่วงที่ชั่วโมงกลางวันกลางคืนเท่ากัน(ช่วงที่พระอาทิตย์ห่างเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด) ทางยุโรปก็ประมาณ 21 มี.ค. และ 23 ก.ย. ของทุกปี แต่ระยะเวลาดังกล่าวจะเป็นเวลากลางปีปฏิทินของเวียตนาม เพราะว่าการเริ่มต้นฤดูที่เร็วกว่ายุโรปล่วงหน้าไป 6 สัปดาห์ ตามความเชื่อของชาวเวียตนามนั้น ช่วงเวลาแต่ละปี จะแทนสัญลักษณ์แต่ละปี ด้วยสัตว์ต่างๆ 12 ชนิดหรือ 12 ราศี(hoàng đạo =ฮว่าง ด่าว) ด้วยกันซึ่งผมขอเอาของไทยเรามาเทียบกันแล้วเป็นดังนี้

ราศีเวียตนามราศีไทย
หนู(=กอน จวด)หนู(ชวด)
วัว(=กอน บ่อ)หรือควาย(=กอน เจา)วัว(ฉลู)
เสือ(=กอน กอบ)เสือ(ขาล)
แมว(กอน แมว),กระต่าย(เถาะ)
มังกร(=กอน หร่อม)มังกร(งูใหญ่)
งู(=กอน รั้ง),งู(งูเล็ก)
ม้า(=กอน เง่อ)ม้า(มะเมีย)
แพะ(=กอน เย่)หรือแกะ(=กอน กื่อ)แพะ(มะแม)
ลิง(=กอน คี้)ลิง(วอก)
ไก่(=กอน ก่า),ไก่(ระกา)
หมา(=กอน จ้อ) หมา(จอ)
หมู(=กอน แฮ-ว) หมู(กุน)

เรียกได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันทีเดียวแต่ต่างกันตรงที่ทางเวียตนามจะมี ปีแมว ส่วนไทยเราจะเป็นปีเถาะ เท่านั้นเอง ว่าไปก็แปลกดี จริงแล้วสัตว์ทั้งหมด มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นสัตว์ในตำนาน คือมังกร ส่วนอีกสี่ชนิด อาทิ หนู เสือ งู ลิง เป็นสัตว์ป่าไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับคน ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดชนิดนั้นเป็นสัตว์ที่ถูกคนนำมาเลี้ยงไว้ ในแต่ละหนึ่งราศี จะวนครบรอบทุกๆ 12 ปี เช่น ปีมังกร จะเป็นปี คศ.1976,1988,2000,2012 เป็นต้น ถึงกระนั้นก็ตาม ชาวเวียตนามยังต้องมีธาตุประจำในกลุ่มราศี โดยธาตุต่างๆจะมีหลักๆอยู่ห้าธาตุ(ไม้,ไฟ,ดิน,ทองและน้ำ) ซึ่งแต่ธาตุจะแยกย่อยออกเป็นส่วนที่ดีและร้าย(หยิน-หยาง) แบ่งเป็นสิบส่วน(2X5=10) ดังนั้นกลุ่มราศีจึง มีรอบปี โดยเอาธาตุหลักมาประกอบกัน และราศีแต่ละปี จะมีธาตุที่เปลี่ยนแปลงแต่ละปีเช่นกัน เมื่อครบรอบราศี(5X12=60) จึงเท่ากับ 60 ปี ซึ่งจะวนมาเริ่มราศีที่ตั้งต้นใหม่ตัวอย่าง เช่น ถ้าเริ่มราศีหนู ก็จะมีห้าธาตุโดยเริ่มจากธาตุไม้ก่อน รอบต่อไปของปีต่อไปราศีควาย....จนถึงราศีหมู พอวนกลับมาราศีหนู แต่ทีนี้เป็นราศีหนูธาตุไฟ ตามที่ท่านเคยได้ยินว่าปีมังกรทอง ก็คือกันกับของชาวจีนครับ(ถ้าใครได้อ่านตำราพรหมชาติของไทยก็คงจะเห็นว่าธาตุของไทยก็มีเช่นกัน ถ้าจำไม่ผิด ก็มี หนูน้ำ หนูไม้ หนูไฟ...เรียงกันไป ตามช่วงเดือน ต่างจากชาวเวียตที่จะเป็นช่วงปี) วนไปเช่นนี้ จบครบรอบ 60 ปี นับว่าแปลกดี อีกทั้งยังมีการแบ่งราศีไปในชั่วโมงวันโดยแบ่งราศีละสองชั่วโมงในแต่ละวัน และมีเกี่ยวข้องกับโชคชะตาชีวิตของคนเรา...เล่ามาไกลแล้ว สำหรับความเชื่อโชคชะตานั้น ชาวเอเชียเราจะคล้ายๆกันในเรื่องการทำนายทายทัก เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินคนว่า เรื่องดวงว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ โดยผมหวังว่าจะหาโอกาสมาเล่าคราวต่อไปว่าชาวเวียตนามเขามีคำทำนายเกี่ยวกับราศีอุปนิสัยของคนในตามวันอย่างไร วันนี้เพียงพอแล้วขอราตรีสวัสดิ์ก่อน ครับ

ที่มา:http://en.wikipedia.org/,www.thingsasia.com