หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)
Showing posts with label culture. Show all posts
Showing posts with label culture. Show all posts

Friday, October 2, 2009

Truyền Kiều

Truyền Kiều
Một mình lặng ngắm bóng nga
Rộn đường gần với nồi xa bời bời
Người mà đến thế thì thôi
Đời phồn hoa cũng là đời bỏ đi
Người mà gặp gỡ làm chi
Trăm năm biết có duyên gì hay không
Truyền Kiều : Nguyễn Du
Truyện Kiều เจวี่ยน เกี่ยวหรือบทประพันธ์เกี่ยว แต่งโดย Nguyễn Du (1765-1820) เป็นบทประพันธ์ที่คลาสิกของเวียตนาม ด้วยจำนวนกว่า 3,254 บรรทัด นิยมขับร้องด้วยทำนองพื้นบ้านและเครื่องดนตรีพื้นเมือง(ca dao) รวมทั้งการนำบทประพันธ์ไปเขียนอย่างงดงามด้วยพู่กันจีน เนื้อหากล่าวถึงชีวิต ที่ลำบากยากแค้น ของหญิงสาวชื่อThúy Kiều สาวแรกรุ่นที่สวยและเก่ง ได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของตน เธอจึงไม่เหมือนผู้หญิงที่ขายตัวทั่วไป เพียงแต่ต้องการช่วยพ่อและน้องชายจากการจองจำในคุก
Nguyễn Du แต่งโดยใช้เค้าโครงจากเรื่องKim Vân Kiều บทประพันธ์ที่คลาสิกของจีน โดยนำพาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องในปลายศตวรรษที่18 ยุคราชวงศ์ Lê โดยมีกษัตริย์ Trịnh ปกครองทางตอนเหนือและมีกษัตริย์ Nguyễn ปกครองทางตอนใต้ ในขณะที่ทั้งสองมีความขัดแย้งกัน กลุ่มกบฏ Tây Sơnก็ได้ทำการปฏิวัติ ยึดอำนาจจากสองกษัตริย์ จวบจนนับสิบปี ตัวNguyễn Du เองนั้นจงรักภักดีต่อราชวงศ์Lêและหวังว่าราชวงศ์นี้จะกลับมาปกครองอีกครั้ง จนในปี คศ.1802 กษัตริย์Nguyễn Ánhได้รวบรวมอาณาจักรเวียตนามทั้งหมดและได้ก่อตั้งราชวงศ์Nguyễn สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ์ยาลอง(Gia Long) และอยากให้ Nguyễn Du เข้าร่วมงาน แต่เขาไม่เต็มใจนัก เหตุการณ์ในตอนนั้นเปรียบได้กับตัวเอกของเรื่องที่ เขาแต่งในTruyện Kiều บทประพันธ์ถูกเขียนไปในเชิงแฝงความคิด ที่ขัดแย้งความเชื่อ อย่างลัทธิเต๋าขงจื้อ อาทิเช่น
-เริ่มด้วยความลำบากของหญิงสาวจากความโลภของขุนนางจีนคนหนึ่ง แต่กลับยกย่องขุนางอย่างมีศีลธรรม
-กลุ่มจราจลTu Hai ถูกยกย่อง แต่ว่ากษัตริย์Nguyen Tu Duc กล่าวว่าคนแต่งนี้สมควรจะได้รับโทษอาญา
-นางหลงรักชายหลายคนที่ไม่ได้เห็นชอบจากพ่อแม่ ความรักที่มีข้อกังขาขัดหลักการขงจื้อ
-นางหลงรักชายสามคนที่มีความแตกต่างกัน แต่นางคงความซื่อสัตย์ที่มีต่อชายหนึ่งเดียวที่เข้ามาในชีวิตเธอ ต้นฉบับแต่งด้วยภาษาเวียตนามโบราณ(จีน) และได้แปลคำอ่านเป็นภาษาเวียตนามปัจจุบันตามที่ทางคุณNgaได้ลงบทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ ผมไม่ค่อยถนัดงานแปลหากมีโอกาสจะแปลให้คราวหน้านะครับ

Monday, August 11, 2008

Vietnamese Music and Dinner

จำได้เมื่อตอนจบโครงการสร้าง โรงงานHuhtamaki packaging (ของฟินแลนด์) ที่นิคมเวียตนามสิงคโปร์ (VSIP) จ.บินยืงห์ โฮจิมินห์ซิตี้ เราได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองกัน ที่ร้านBlue Ginger เลขที่37 ถนน Nam Ky Khoi Nghia เขต 1 เป็นร้านอาหารเวียตนาม แบบที่มีแสดงดนตรีพื้นเมืองภาคกลาง มีหลายอย่างที่ไม่ธรรมดาที่นี่ แต่คงเอาไว้เล่าต่อในคราวหน้า แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่น่าสังเกตคือ เครื่องดนตรีที่เขาเล่น ตัวที่เด่นสะดุดตาและเสียงแปลกประหลาดดี เรียกว่า Đàn bầu(ด่าง บ่าว) คำว่าบ่าวแปลว่า ท้องป่อง เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองเวียตนาม ประเภทเครื่องดีดสายเดี่ยว ตามที่ได้จดบันทึกกันนั้นเจ้าเครื่องดีดนี้ถือกำเนิดเมื่อ ปี 1770 แต่ก็มีนักวิชาการประมาณว่า มีอายุยาวนานกว่าพันปี ตามตำนานเล่าว่า มีผู้หญิงตาบอดคนหนึ่ง เล่นมันเพื่อแลกค่าประทังชีวิตเลี้ยงดูครอบครัว ในขณะที่สามีของเธอนั้นกำลังอยู่แนวหน้าสนามรบ ไม่ว่าเรื่องเล่าจะจริงเท็จยังไง เครื่องดนตรีนี้ก็ถือกำเนิดมาและเล่นโดยกลุ่มนักดนตรีวณิพก จวบจนปัจจุบันนี้ เสียงที่นุ่มของมันสอดรับกับเครื่องดนตรีอื่น ด่างบ่าว นิยมเล่นบรรเลงในเพลงพื้นเมืองของภาคกลาง และยังคงความนิยมถึงปัจจุบัน บางเทศกาลยังนำมาบรรเลงประกอบการร้องกาพย์กลอน และยังนำไปบรรเลงในวงดนตรีสากลเอเชียอย่างเพลงป๊อบ เพลงร๊อค ปัจจุบันได้มีการนำท่วงทำนองเสียงสังเคราะห์อย่างด่างบ่าวไปใช้กีต้าร์ไฟฟ้า เพื่อยืดจังหวะเสียงเวลาโซโล ส่วนประกอบของ ด่างบ่าวประกอบด้วยสี่ส่วนคือ ปล้องลำไผ่ ก้านไม้ กะลาครึ่งซีก และเส้นไหม สายจะถูกพาดตามปล้องลำไผ่ผูกไปยังก้านไม้อีกด้านหนึ่งที่มีกะลาติดอยู่ ในมุมฉาก แต่ในปัจจุบันปล้องไผ่ได้ถูกแทนที่ด้วยกระดานไม้อัดเนื้อแผ่นนอกแข็งในอ่อนรวมสามชั้น สายไหมถูกแทนที่ลวดกีต้าร์ คันโยกก้านไม้ยืดเสียงนั้นยังคงเหมือนเดิม แต่ประดับประดามันเพิ่มเติมเพื่อความสวยงาม การจูนปรับเสียงก็ใช้เครื่องปรับเหมือนอย่างเครื่องดนตรีสากล ตรงฐานสายเพิ่มตัวปรับเสียงได้ ปกติจะปรับเสียงลงหนึ่งขั้นจาก Chord C(130.813 Hz) ใครเคยเล่นกีต้าร์ก็ประมาณว่าเล่นคีย์ต่ำนะครับ แต่หากจะปรับไปเล่นคีย์อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน แม้ว่าการละเล่นด่างบ่าวจะไม่ยากแต่ต้องอาศัยความแม่นอย่างมาก ในการตวัดมือขวาแตะเบา-หนักที่เส้นสายซึ่งถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดจุดเสียง ในขณะที่ต้องใช้อีกนิ้วมือซ้ายดึงรั้งก้านไม้เหมือนอย่างที่เห็นนักกีต้าร์โซโลดึงคันชักโย้โยกไปมาเพื่อลากเสียงยืดยาวสั้น เหมือนอย่างกับดีดพินจีนผสมกีต้าร์โซโล ยังมีเครื่องดนตรีจีนทางใต้อีกอย่าง ที่นับว่าใกล้เคียงกับด่างบ่าวก็คือ duxianqin(หยู เซี่ยง ชิน) ลักษณะคล้ายกันต่างกันแค่วัสดุตัวเครื่องบางอย่างเท่านั้น สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าด่างบ่าวได้ถูกนำเข้าโดยกลุ่มชาวจิ้ง(ชนพื้นเมืองเวียตนาม)ที่อพยพไปจีนเมื่อ 1600 ปีก่อนนั่นเอง ทีนี้ลองมาฟังตัวอย่างเสียงของมันดูนะครับ ที่มา:en.wikipedia.com

Saturday, August 18, 2007

VietKieu(Yuan) in Thailand Part III

อุปนิสัย ความเป็นอยู่ชาวญวนในไทย
ลักษณะเด่นของชาวเวียดนาม คือ เป็นกลุ่มคนที่มีความขยันขันแข็งและมีความอดทนเป็นพิเศษ แม้คนจีนก็ยังยอมรับว่าคนญวน มีความขยันขันแข็งในการประกอบอาชีพมากว่าตน ในเรื่องน้ำอดน้ำทนของคนญวนไม่มีชาติใดในเอเชีย ที่เหนือกว่าคนญวน การที่คนญวนสามารถทนทำสงครามต่อสู้กับสหรัฐอริเมริกาเป็นเวลานานนับ 10 ปี ทั้งๆ ที่ประเทศของตนประสบกับความเสียหายอย่างยับเยิน จากการโจมตีที่ทิ้งระเบิดของสหรัฐ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างดีถึงความอดทนของคนญวน เมื่อคนญวนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็ตั้งหน้าทำมาหากิน ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยในระยะนั้น ได้ให้อุปการะช่วยเหลือ ทำการจัดสรรแบ่งที่ดินให้ทำกิน และให้ยืมทุนในการประกอบอาชีพรวมทั้งปล่อยให้ทำมาหากินโดยอิสระเสรี ไม่มีการกีดกั้นหรือหวงห้ามแต่อย่างใดจึงเป็นผลให้คนญวนสามารถสร้างฐานะความเป็นอยู่ ให้เป็นปึกแผ่นขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดคนญวนก็สามารถสร้างฐานะทางเศรษฐกิจของตนให้เหนือกว่าคนไทยในชุมชน


คนญวนประกอบอาชีพเกือบทุกประเภท นับแต่ด้านการเกษตร การช่างฝีมือต่าง ๆ เช่น ช่างไม้ ชางเหล็ก ช่างกลึง ช่างนาฬิกา ช่างไฟฟ้าวิทยุ ช่างเย็บเสื้อผ้า ช่างเครื่องยนต์ ต่อตัวถังรถยนต์ อาชีพค้าขายทุกชนิด การประมง การแพทย์ ถ่ายรูป การค้าขายในตลาดสด เป็นต้น ด้วยความขยันหมั่นเพียร และการมีน้ำอดน้ำทน สามารถประกอบอาชีพได้ทุกชนิดโดยไม่มีการรังเกียจ ผลจึงปรากฎว่า ชุมชนใดที่มีกลุ่มชาวญวนอยู่ อิทธิพลทางเศรษฐกิจจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มนี้เป็นส่วนใหญ่
ด้านสังคม ในท้องถิ่นที่มีคนญวนอาศัยอยู่ คนญวนจะรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น คบค้าสมาคมเฉพาะคนญวนด้วยกัน สรุปแล้วในด้านสังคมส่วนมากคนญวน แสดงออกโดย


(1) ใช้เวลาว่างเล่นกีฬาทุกชนิด กีฬาที่นิยมเล่นได้แก่ฟุตบอล บาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล เป็นต้น จุดประสงค์ของการเล่นกีฬา ก็เพื่อปลูกฝังความสามัคคี ในหมู่คนญวน
(2) จัดงานแสดงออกซึ่งพลังแห่งความสามัคคี ในวันสำคัญของตน เช่น วันเกิดโฮจิมินห์ วันชาติเวียดนาม เป็นต้น เพื่อปลูกจิตสำนึกให้รักชาติ รักและบูชาโฮจิมินห์

ฉะนั้นสังคมโดยสรุปแล้ว ชาวญวนต้องการมีอิสระเสรีที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับที่ทางการกำหนดไว้ สำหรับคนญวนอพยพ และชาวญวนส่วนมากไม่ต้องการเดินทางกลับเวียดนาม ถึงจะรักภักดีต่อประเทศเวียดนามก็ตาม สาเหตุเพราะ ในระยะหลัง ได้มีญวนรุ่นใหม่เกิดขึ้น ญวนกลุ่มใหม่นี้ไม่เห็นประเทศเวียดนามมาก่อน ความ รู้สึกผูกพันในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของบิดามารดา ก็ย่อมไม่แน่นแฟ้นเหมือนญวนรุ่นเก่า และชาวญวนยังเคยชินต่อระบบเศรษฐกิจแบบเสรี มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย เมื่อเทียบกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนญวนในเวียดนาม จึงไม่ปรารถนาที่จะกลับเวียดนามและพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย

การศึกษาสูง ๆ เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ญวนต้องการมีสัญชาติไทย เด็กญวนที่เกิดในเมืองไทย ทางราชการได้ผ่อนปรนให้เข้าเรียนในระดับต้นๆ ในท้องถิ่นที่ญวนอาศัยอยู่ แต่การศึกษาในระดับสูง ๆ นั้น มีปัญหาเพราะต้องใช้หลักฐานหลายอย่างที่คนญวนอพยพไม่มี เช่น สำเนาทะเบียนบ้าน เป็นต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เด็กญวน ที่ต้องการเรียนต่อ ต้องหาทางให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย และอีกทางที่ทำได้ก็คือการให้คนไทยรับเป็นบุตรบุญธรรมด้วยวิธีการ ทำให้มีลูกหลานญวน ได้มีโอกาสเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย
ที่มาhttp://www.surinmajestic.net

Friday, August 17, 2007

VietKieu(Yuan) in Thailand Part II

ประวัติชนชาวญวน / เวียตนาม / อานัม / แกว ในประเทศไทย
ในอดีต ชาวเวียดนาม เข้ามาอาศัยในประเทศไทยมีสถานะเป็น“ญวนอพยพ” อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันชาวเวียดนามเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติที่ถูกต้องจากรัฐไทย และกลายมาเป็นสะพานทางวัฒนธรรมที่เชื่อมความสัมพันธ์ไทย-เวียดนาม ไม่ว่าจะในด้านภาษาโดยการเป็นครูสอนภาษาเวียดนามให้แก่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการไทย และ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการเวียดนามที่เดินทางมาเรียนภาษาในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดในภาคอีสาน นอกจากนี้ ชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยยังมีบทบาทในการเป็นผู้ประสานงาน เป็นล่ามให้แก่หน่วยงานราชการและเอกชนไทยและเวียดนาม เป็นผู้ร่วมก่อตั้งหมู่บ้านมิตรภาพไทย-เวียดนามที่บ้านนาจอก จังหวัดนครพนม และบ้านโห่จี๋มิงห์ ที่บ้านหนองโอน จังหวัดอุดรธานี อีกทั้ง มีบทบาทในการเผยแพร่วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย การเผยแพร่อาหารเวียดนาม เป็นต้น

การบูชาบรรพบุรุษ : ภายในบ้านของคนเวียดนาม และภายในวัดทุกแห่งจะพบแท่นบูชาบรรพบุรุษการบูชาบรรพบุรุษยังคงมีความสำคัญทางสังคมและศิลธรรมอย่างสูงในสังคมเวียดนาม ในวันครบรอบวันตาย และวันเทศกาลตามประเพณีต่างๆ ญาติของผู้ตายจะมาชุมนุมกันโดยลูกชายคนโตของผู้ตายจะเป็นผู้นำในการเซ่นไว้ด้วยอาหารและธูป จากนั้นคนในครอบครัวทั้งหมดจะไปที่สุสานของผู้ตาย พิธีจบลงด้วยสมาชิกในครอบครัว คุกเข่าลงหน้าแท่นบูชา ความล้มเหลวในการบูชาบรรพบุรุษของลูกหลานจะถูกมองว่าเป็นการกระทำที่แสดงถึงความอกตัญญูต่อบิดามารดา เพราะทำให้บรรพบุรุษต้องเร่ร่อนอยู่ในนรก

การบูชาในระดับหมู่บ้าน: ในทางปฏิบัติแล้วหมู่บ้านเวียดนามทุกแห่งจะมีจั่ว (chua-ที่วัด) และดิงห์ (dinh - ศาลาประชาคม) ชาวบ้านจะบูชาพระพุทธเจ้าจั่ว ซึ่งดูแลรักษาโดยภิกษุจำพรรษาอยู่ที่นั้น ทุกวันที่ 1 และ 15 ค่ำชาวบ้านจะไปที่จั่ว โดยนำดอกไม้ธูปเทียนและผลไม้ไปถวายพระพุทธ และประกอบพิธีที่วัดในตอนเย็นของวันที่ 14 และ 30 ของเดือนเพื่อแสดงความเสียใจในสิ่งที่ไม่ดีที่ได้กระทำลงไป และปฏิญาณว่าจะประพฤติในสิ่งที่ดีการปฏิบัติธรรมของชาวพุทธในระดับหมู่บ้านจะไม่เหมือนกับของเซน เป็นการผสมผสานระหว่างเซนกับอมิตาภะ เป็นที่เชื่อกันว่าอมิตาภะจะได้สภาวะแห่งพุทธภายใต้เงื่อนไขพิเศษที่ท่านได้ต้อนรับคนทุกคนที่เรียกชื่อท่านอย่างจริงใจเวลาตาย และจะนำพวกเขาไปยังสวรรค์

ศาสนาพุทธ :ได้รับการเผยแพร่เข้ามาจากอินเดียและจีน กว่าพันปีแล้ว ผู้เชียวชาญในสาสนาพุทธชาวเวียดนามคนหนึ่งถูกส่งตัวไปยังราชสำนักญี่ปุ่นเพื่อสอนบทเพลงทางสาสนาซึ่งปรากฏลัทธิ 2 ลัทธิ คือ อาอาม (A -HAM, Agaham ) และเทียน (Thien) ต่างแข่งขันกันอย่างสันติภาพในหมู่ผู้เลื่อมใสศรัทธา ลัทธิเทียนเป็นลัทธิหนึ่งในศาสนาพุทธนิกายมหายาน เนื่องจากกฎเกณฑ์น้อยทำให้เป็นที่นับถือกันมาก

ลัทธิขงจื้อ: ลัทธิขงจื้อมีอายุยืนยาวมากกว่าระบบความเชื่ออื่นใด ทั้งในโลกตะวันออก และตะวันตก ลัทธินี้มีพื้นฐานมาจากคำสอนของขงจื้อซึ่งเกิดในราวปีที่ 55๐ ก่อนคริสต์กาล และอยู่ในยุคที่จีนมีความวุ่นวายทางการเมือง ขงจื้อได้ชื่อว่าเป็นผู้ชี้นำทางจริยธรรมและศิลธรรมมากกว่าที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ลัทธิขงจื้อเข้ามาสู่ชาวเวียดนามโดยผ่านชาวจีนกว่า 2,๐๐๐ ปี มาแล้ว

ลัทธิเต๋า : เต๋า เต็ก เก็ง (Tao Te Ching) คัมภีร์แห่งมรรคและอำนาจของเต๋าเริ่มต้น ในหมู่บ้านที่มีศาสนาพุทธและขงจื้อ วิญญาณนิยม และความเชื่ออื่นๆ อยู่รวมกัน ในหมู่บ้านเหล่านี้จะมีการสร้างสถานที่สำหรับบูชาที่เรียกกันว่า เดี่ยน (dien) หรือ ติ๋งห์(tinh) ในระดับชาวบ้านเต๋าเป็นเรื่องของความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติเวทมนตร์คาถาและการรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยอาคม

ศาสนาคริสต์ : ชาวเวียตนาม ส่วนหนึ่งนับถือศาสนาคริสต์ โรมันคาทอลิค และประเทศเวียดนาม เป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยศาสนา ปรัชญาและความเชื่อ แบบวิญญาณนิยมเปลี่ยนไป คาทอลิคมิช ชันนารีตะวันตก พวกแรกได้เข้ามาในตังเกี๋ยทางภาคเหนือของเวียดนาม ในปี 1533 และเข้าสู่ภาคกลางของเวียดนามในปี 1596 การเผยแพร่ครั้งแรกเกิดขึ้นที่ในฮอย อัน (Hoi An) ดานัง และฮานอยโดยคณะมิชชันนารีเยซูอิตชาวโปรตุเกส การเผยแพร่ศาสนาก่อให้เกิดความขัดแย้ง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แม้กระนั้นคาทอลิค ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง 2 ด้านอย่างแรกคือ การประดิษฐ์ภาษาเขียนแบบโรมัน สองคือการนำเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของตรรก แบบตะวันตกเข้ามาการเปลี่ยน แปลงนี้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลขึ้นในหมู่ขุนนางและชนชั้นปกครองผู้มองว่าศาสนาใหม่เป็นสิ่งคุกคามระ เบียบสังคมแต่ดั้งเดิมและพิธีกรรมต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อความเชื่อเรื่องสวรรค์ และการบูชาบรรพบุรุษ

ที่มาhttp://www.surinmajestic.net

Saturday, August 11, 2007

Vietnamese Martial Art Part I

ตอนที่อยู่โฮจิมินห์ ตอนช่วงเย็นผมชอบขับรถชมเมือง ช่วงตอนเย็นประมาณหกโมง ผมผ่านวัดแถวถนน Xo Viet Nghe Tinh จะไป วงเวียนห่างซัน ได้ยินเสียงการฝึกซ้อมหมัดมวยทุกคนสวมชุดสีหมากแก่ รำกระบี่ กระบอง ผมเคยเห็นเขาเรียนศิลปการต่อสู้อย่างนี้มาครั้งหนึ่งตอนขับรถผ่านไปเที่ยวแถววัดแห่งหนึ่งในเขตบินห์ยืงไม่ไกลจากที่ทำงานนิคมVSIP ผมยืนดูเขาประลองกำลังกัน ดูแล้วสนุกดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเขาเล่นอะไรกัน

Việt Võ Đạo เหวียด หว๋อ ด่าว เป็นศิลปการต่อสู้ชาวเวียตนาม โดยมากเราจะรู้จักกันในชื่อของ วูซู กันซะมากมากกว่า ตามความหมายแล้ว Việt=ชาวเวียตVõ=ศิลปการต่อสู้ หรือ มวยĐạo=กระบวนยุทธ หรือ Do(ซู)ในระหว่างและหลังสงครามเวียตนาม ศิลปการต่อสู้ซึ่งผมขอเรียกว่า หว๋อ ด่าว ได้แพร่หลายไปทั่วโลกตามชุมชนที่ชาวเวียตนามอาศัยอยู่ จนได้ก่อตั้งเป็น สมาพันธ์เหวียด หว๋อ ด่าว ขึ้นในเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1973 อันประกอบไปด้วยสมาคม


-Vovinam มีสำนักในประเทศเยอรมัน
-Qwan Ki Do-Bach Hac
-Thang Long
-อื่นๆ

ศิลปการต่อสู้นี้ได้พัฒนาเสริมส่วนปรัชญาการดำรงชีวิตโดยใช้ชื่อเรียกว่า Nhan Võ Đạo (ยัน หว๋อ ด่าว) โดยศิลปการต่อสู้นี้ได้มีการประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับสรีระของชาวยุโรป ปลายปี 1980 โดยปรมาจารย์ จู ตัน เกิ่ง(Chu Tan-Cuong) ที่เมืองHalle ประเทศเยอรมัน โดยตัวท่านเองได้รับการถ่ายทอดวิชาตั้งแต่เด็กจากปรมาจารย์ เหวียน ตี้(Nguyen Ty) เจ้าสำนักเส้าหลินใต้(Shaolin Nam Hong Son) นับถึงปัจจุบันท่านเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งเชี่ยวชาญทุกแขนงติดอันดับโลก จะว่าไปแล้วหว๋อด่าวก็เป็น มวยจีนตอนใต้ อย่างที่เราดูในหนังจีนต่อสู้แบบโบราณที่บ้านเรา

ระดับของผู้ฝึก หว๋อ ด่าว มี 6 ระดับ และมีระดับเอกมากกว่าหนึ่งระดับ ผู้ฝึกจะฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่า ฝึกการต่อสู้ด้วยพลองหรือหอก และ ดาบ ระดับสูงจะได้ฝึกหมัดมวย ดังนั้นภาพรวมของมวย จึงเป็นลักษณะของการป้องกันตนเอง หมัดมวย ฝึกลมปราณ รับแล้วรุกจากการโจมตี ส่วนการเตรียมตัวเพื่อไปสู่ระดับเอกหรือมาสเตอร์นั้น จะต้องผ่านการทดสอบปฎิภาณและไหวพริบ

สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์หยินหยาง(Âm-dương) ไม่แข็ง ไม่อ่อน อย่างต้นไผ่ รวมกันภายใต้สัญลักษณ์แปดเหลี่ยม ชาวเวียตนามให้ความสำคัญกับต้นไผ่มาก เพราะวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องเป็นทั้งอาหาร เครื่องใช้ ที่อยู่อาศัยรวมทั้งปรัญชาชีวิต

Saturday, April 21, 2007

King Hung Celebration


ขนมเค้กยักษ์วันรำลึกกษัตริย์ห่มมหาราช
วันดังกล่าวตรงกันวันที่10เดือน3ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งตามปฎิทินสากลคือวันที่ 26 เมษายน ในปีนี้ ที่เมืองโฮจิมินห์ซิตี้เองก็มีการฉลองเช่นกันโดยการทำขนมเค้กยักษ์อันได้แก่



บั๊น จึง(banh chungหรือbanh TET) ที่ทำจากข้าวเหนียวห่อใบตองเป็นทรงรูปสี่เหลี่ยมนึ่ง จำนวนหนึ่งชิ้น และขนมบั๊น หย่าย(banh day)ที่มีทรงคล้ายซาลาเปาทำจากเค้กข้าวจ้าว จำนวนหนึ่งชิ้น โดยจัดงานที่สวนวัฒนธรรมDam Sen ซึ่งปีนี้ตรงกันวันหยุด ทั้งนี้ทางสวนยังได้เชิญชวนแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรับประทานขนมนี้เพื่อเป็นศิริมงคลในส่วนของบั๊นจึง มีขนาด 1.8x1.8x0.7 ม. ทำจากข้าวเหนียว 1,000 กก.ถั่วเขียว 200 กก. หมู10 กก.ใช้ใบตอง 350 กก.ดอกไม้จีน 20 กก. ซึ่งปรุงแล้วจะมีน้ำหนัก 2 ตัน


ส่วนบั๊นหย่าย มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 ม. หนา 0.70 ม. ปรุงแล้วหนัก 1 ตัน ในโอกาสนี้ทางสวนยังจัดทำหมูยอหรือที่บ้านเราเรียกแหนมเนืองญวน(Chả lụa=จ๋า หลั่ว) เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 ซม.ยาว 1 ม. หนักกว่า 30 กก. โดยปีนี้ทาง Dam Sen ได้จัดงานเป็นปีที่สองแล้วนับจากปี 2005

ทีมาของขนมทั้งสองนี้เป็นเรื่องที่เล่าขานตามตำนาน เท่าที่ผมจำได้ เป็นตอนที่กษัตริย์พระองค์นี้ชนะศึกประกาศอิสระภาพประเทศ ซึ่งตอนนั้นสงครามได้สร้างความแร้นแค้นไปทั่ว ก็มีชาวบ้านได้ทำขนมถวายมอบให้พระองค์เสวย พระองค์ทรงนิยมชมชอบขนมนี้มาก จึงทรงตั้งให้ขนมดังกล่าวเป็นขนมแห่งการเฉลิมฉลอง และขนมดังกล่าวก็ได้สืบทอดประเพณีจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น ชาวเวียตนามโดยเฉพาะช่วงตรุษ จึงนิยมทำขนมดังกล่าวเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ เท่าที่ชิมดู ถ้าจะให้อร่อยต้องทานร่วมกับผักกิมจิเวียตนาม เพราะรสชาดจะได้ไม่จืด ขนมนี้ค่อนข้างให้พลังงานสูง(หมับ=อ้วน) เก็บได้นานนับเดือน(ใส่เกลือ และผงชูรส) โดยไม่ต้องเข้าตู้เย็น เพื่อนๆสนใจก็นำไปทำเองก็ได้ครับ ส่วนผักกิมจิเขาจะหมักใส่ขวดโหลมีผักกาด เศษผัก แคร็อท หั่นชิ้นพอคำล้างสะอาด ตากแดด พอแห้งใส่ขวดโหลซึ่งมีน้ำปลา เกลือ น้ำตาล ผงชูรส น้ำส้มสายชู สัดส่วนเค็ม หวาน เปรี้ยว มาคลุกเคล้ากับผักตากแห้งพอขลุกขลิกเท่านั้นหมักไว้เจ็ดวัน นำมาทานร่วมกับขนมอร่อยมาก ไม่เลี่ยน

Friday, April 6, 2007

Vietnamese Name


เมื่อวานโดนบ่นว่าไม่ค่อยปรับปรุงข้อมูล ก็เลยโดดงานช่วงเช้า มาว่ากันถึง เรื่องชื่อนามสกุลของคนเวียตนามกันในวันนี้ ผมเคยเข้าไปนอนโรงพยาบาลเหวี๋ยงทอม(อดีตบ้านพักหรือที่ทำการประธานาธิบดีเวียตนามใต้ ไม่แน่ใจ) ดีที่เพื่อนคนหนึ่งมีลุงเขาทำงานกระทรวงสาธารณะสุขฮานอยเลยเข้าไปใช้บริการได้ ผมเลยได้ชื่อว่า Nguyễn Văn Đồng ถูกบันทึกประวัติไปแล้ว นอกเรื่องอีกแล้ว โดยทั่วไปชื่อคนเวียตนามจะมีด้วยกันสามส่วน มีบ้างที่มีเพียงสองส่วน แล้วค่อยกล่าวถึงต่อไป ส่วนแรกเป็นชื่อแซ่ตระกูล เช่นที่เราพบเห็นกันบ่อย เช่นNguyen,Tran,Le,Vu,Vo,Hoang,Huynh,Pham,Ngo,Truong,Phan,Doan,Thai,Trinh,Dang,Bui,Lam,Cao,Duong,Dinh,Do,Luu,Ly... ส่วนที่สองจะเป็นชื่อกลางบอกลักษณะเฉพาะ อย่างบ้านเราก็นางสาว หรือนาย เช่น Van,Dinh,Huu,Thi ... ส่วนคำสุดท้ายเป็นชื่อจริงที่เราใช้เรียกกัน อย่างเพื่อนชายผมคนหนึ่ง ชื่อ Nguyen Van Nam(เหวียน ฟวัง นาม) ชื่อ จริง คือ นาม ,ฟวัง แสดงว่าเป็นเพศชาย,แซ่สกุล เหวียน โดยมากแซ่ตระกูล เหวียน จะมีเยอะมากมาก ชื่อส่วนมากมีที่มาจากเทพเจ้า หรือวีรบุรุษ ในตำนาน ซึ่งดูจากการเรียงคำแล้วคล้ายของฝรั่ง แต่บางทีชื่อกลางไม่มี อย่างพวกนักร้องสังเกตดูจะมีเพียงสองส่วน เช่น Cam Ly,Duy manh,My tam,Dan Troung... หรือชื่อถนน Le Loi,Nguyen Trai...ที่เวียตนามก็เป็นชื่อบุคคลในหน้าประวัติศาสตร์ วันเหตุการณ์สำคัญ ชื่อถนนมีเหมือนกันทุกเขตจังหวัด(คงเพื่อปลุกใจรักชาติ) โดยมากจะเป็นชื่อสองคำจะเป็นของเพศชาย กว่า 22% ในจำนวน 3,282 ชื่อ
ทั้งนี้เชื่อว่าแซ่มีโดยหลักมีเพียง100แซ่ตระกูล(Tram Ho)เขตสามเหลี่ยมลุ่มแม่น้ำแดงเวียตนามเหนือ นอกนั้นมีประปรายไม่เกิน 202 แซ่ ชื่อแซ่จะมีเพียงหนึ่งคำ ส่วนที่ จ.บั๊กนินห์ ที่ภาคเหนือ ค้นพบว่ามีกว่า 99 แซ่ โดยกว่า 40% เป็นแซ่เหวียน โดยตามบันทึกนักภูมิศาสตร์ฝรั่งเศสสมัยเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส กล่าวว่าผู้คนแถวอ่าวตังเกี๋ยเวียตนามเหนือ มีชื่อแซ่ส่วนใหญ่รับมาจากคำอักษรภาษาจีน และคำบางส่วนก็รับมาจากชาวจามทางภาคใต้ เช่น Ong,Ma,Tra,Che,Lang,Sam...แต่ก็มีแซ่ตระกูลที่มีคำสองคำ เช่น Nguyen-Tan,Nguyen-Khoa,Ho dac...โดยคำแรกเป็นต้นแซ่เดิม คำหลังเป็นแซ่ปัจจุบัน (อย่างคนที่มาจากตระกูลสูงบ้านเราที่ยังมีสกุลในวงเล็บให้รู้ว่ามาจากผู้ดีแต่มาแต่งงานเข้าอีกตระกูลนะครับ) อย่างแซ่Nguyen และ Tran ที่แตกหน่อไปหลายช่วง ก็นิยมผสมแซ่โดยขีดคั่นชื่อ แต่แซ่Uat-tri,Gia-cat ไม่ได้เป็นแซ่คนเวียตนามแต่เป็นแซ่ตระกูลมาจากจีนเป็นแซ่ตระกูลของกษัตริย์ ฝ่ายชายในตระกูลกษัตริย์ซึ่งไม่ได้มาจากแซ่เหวียนจะใช้แซ่ว่า Ton-that ส่วนผู้หญิงใช้แซ่ว่า Ton-nu
ชื่อกลางเป็นส่วนที่ทำให้รู้ว่าคนนี้เพศอะไร(เว้นแต่กะเทยคงต้องเดาหน่อย)ส่วนหญิงจะนิยมใช้คำว่า Thi (ถิ) มาจากคำว่า ชิ ในภาษาจีน ส่วนชายจะนิยมใช้คำว่า Van,Huu,Duc(ดึ้ก),Dinh,Xuan,Ngoc,Quang(กวาง),Cong...ดังนั้นในหนึ่งครอบครัวมีเหมือนกันที่ใช้ชื่อกลางเดียวกัน หรือชื่อกลางแสดงลำดับพี่น้องในครอบครัวอย่าง Manh,Trong,Qui หรือที่เคยได้ยินว่าพี่ใหญ่ ส่วนรองลงมาก็เรียกว่า Gia ก็คือพี่รองน้องเล็กประมาณนี้ อย่างพี่ชายคนโตเรียกว่า Ba น้องชายคนเล็กเรียกว่า Thuc(ถุบ) โดยมากชื่อกลางจะไม่หมายถึงรุ่นในตระกูลเว้นแต่ในราชวงศ์เท่านั้นที่ใช้อย่าง Nguyen(-Phuc) Anh ซึ่งเป็นลูกชายกษัตริย์Gia-Long(ยาลอง) ส่วนคนทั่วไปอย่างเพื่อนผมคนฮานอย ชื่อตามบัตรประชาชนว่า Nguyen Thi Thu Thuy ชื่อ คุณถุ๋ย เป็นผู้หญิง คุณพ่อแซ่เหวียน แม่แซ่ทู แต่เพื่อนผมว่าเขาชื่อเต็มว่า Doan Thi Thu Thuy แซ่เหวียนเป็นแซ่คุณตา จริงแล้วคุณพ่อแซ่ดวน คิดว่าคงเป็นแนวทางให้เพื่อนๆในการสังเกตได้นะครับ

Saturday, February 24, 2007

Vietnamese God


คืนนี้ กลับจากอยุธยาเกือบเที่ยงคืน พอมีเวลาก่อนนอนจะขอเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าความเชื่อของคนเวียตนาม ว่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากที่อื่น แต่ไม่มีเวลาแล้ว เอาเป็นว่า เอาจากที่เคยได้ยินคนเวียตเขาเล่าบอกดีกว่า การนับถือเทพเจ้าเท่าที่เห็นก็คล้ายกับจีน พอเปิดประตูบ้านคนเวียต ก็จะเจอซุ้มศาลพระภูมิวางกับพื้น บางที่เป็นซุ้มแดงเหมือนบ้านคนจีนในบ้านเรา แต่บางที่ก็ก่ออิฐก่อช่องเป็นซุ้มพอวางตุ๊กตาหรือรูปปั้น(ไม่รู้ป้องกันไฟไหม้หรือเปล่า) หล่อเทพเจ้าทรงชุดสีแดง หลักๆที่เห็นจะมีสององค์ คือ เทพถั่งต่าย เป็นเทพแห่งความวาสนาบารมีอายุมั่นขวัญยืนไว้เครายาว ส่วนอีกองค์คือ เทพ ออมเด๋ อ้วนท้วนสมบูรณ์หัวเราะร่ามือหนึ่งเอาไว้ถวายจุดใส่บุหรี่ เป็นเทพแห่งความมั่งมีศรีสุข ทุกเช้าเขาจะเอาน้ำใส่จอกจำนวนห้าจอกเรียงหน้ากระดานถวาย ใส่ดอกไม้แจกัน แล้วจุดบุหรี่มวนนึงใส่มือเทพออมเด๋ ตามด้วยจุดธูปอธิฐานสามสี่ก้านปักกระถาง ส่วนเทพแห่งฟ้าดินนั้นคือเทพออมเจ่ย( ông trời) เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งแต่ไม่เห็นว่ามีรูปปั้น เป็นเทพสร้างโลกสูงกว่าเทพองค์อื่นๆ นอกนั้นก็มีเทพอื่นๆ ไม่ค่อยรู้จัก เพราะคนเวียตนามโดยมากที่ไปบ้านจะบูชารูปพ่อแม่บรรพชนส่วนมาก

Thursday, January 4, 2007

Tradition Vietnamese New Year


ว่าไปแล้ว วันที่ 1 มกราคม จะยังไม่ใช่ปีใหม่ของชาวเวียตนาม แต่เขาจะเรียกว่า "นำ เม้ย ก๊วก เต๊=ปีใหม่สากล(international new year)" ส่วนปีใหม่ตามประเพณีก็ช่วงวันตรุษจีน ซึ่ง เรียกว่า Tet=เต๊ด...ซึ่งก็คล้ายกับจีน มีวันไหว้ วันจ่าย วันเที่ยว เหมือนกัน เดินทางไปเยี่ยมญาติ เมาได้ทุกบ้าน อวยพรก็
"จ่าว บั๊ก จ่าว โก=สวัสดีคุณลุง สวัสดีคุณป้า"
"จุ๊ก หมึ่ง นำ เม้ย=สวัสดีปีใหม่"
"หั่น ฟุก วุย แหว๋=ขอให้มีความสุข"
"ซุก แคว๋ หงิ่ว ล้ำ=สุขภาพแข็งแรง"
ก่อนเที่ยงคืนที่จะข้ามวันใหม่ แขกที่มาบ้าน หรือสมาชิกบ้าน จะออกไปนอกบ้าน พอเสียงไซเรนหรือ หวอ ดังมาจากที่ทำการของรัฐ หรือเขตทหารตำรวจราชการ ดังขึ้น ก็เป็นสัณญาน ว่าปีใหม่แล้ว สมาชิกหรือแขกจะไปเคาะประตู พร้อมอวยพรดังกล่าวต่อเจ้าบ้าน เป็นความเชื่อแบบว่า ถ้าเป็นแบบนี้ เจ้าของบ้านจะมีโชคดี มีความสุขเงินทองไหลมาเทมา ส่วนการนำเงิน หลี่สี่ หรือ อั่งเปาของจีน ก็ช่วงนี้เช่นกัน จะนำเงินใส่ซองแดงมอบให้กับผู้ใหญ่ หรือผู้น้อย เพื่อเป็นสิริมงคล ที่จะได้รับโชคมากๆในปีต่อไป และเชื่ออย่างนึงเหมือนจีน ก็คือ จะไม่ทำงาน เพราะเชื่อว่าจะทำให้ทำงานหนักตลอดปี ช่วงที่ไปเมืองโฮจิมินห์ ผมและเพื่อนคนเยอรมัน หาข้าวกินไม่ได้เลยเพราะร้านปิดหมด แต่ยังดีที่พก มาม่า(=หมี่ ก๋อย)จากบ้านเรามา ไม่งั้นเราอดกันแน่แน่ สวัสดีปีใหม่ทุกคนครับ