หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)
Showing posts with label socities. Show all posts
Showing posts with label socities. Show all posts

Friday, October 3, 2008

วิธีลดโลกร้อนของชาวไซง่อน

การเดินทางไปทำงานด้วยรถเมล์ ลดค่าไฟด้วยการใช้หลอดประหยัดไฟ งดใช้ถุง พลาสติก เพื่อลดโลกร้อน ในเมืองไซง่อนหรือโฮจิมินห์ หากพูดว่า"Sài Gòn xanh=ใส่ ก่อน ซัง"(ไซง่อนเขียว)จะเป็นที่ทราบกันในหมู่นักดื่มกินเที่ยวว่าหมายถึงการสั่งเบียร์สักขวดนึงมาดื่มสนนราคาขวดละ 8.000ด่อง สำหรับชาวไซง่อนแล้วเบียร์ไซง่อน(Bia Sài Gòn)นั้นนับว่าเป็นที่นิยมกันมาก โดยแบ่งออกเป็นสองชนิดตามสีของฉลากขวด คือ Sài Gòn đỏ (ใส่ ก่อน ด๋อ=ไซง่อนแดง) ฉลากขวดแดง และSài Gòn xanh ฉลากขวดสีเขียว ผมดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติของขวดเขียวดื่มนุ่มกว่า ส่วนขวดแดงดีกรีแรงกว่าเปิดมาฟองจะฟูมากกว่า ดีกรี7% เบียร์แรงที่เคยดื่มมาก็เบียร์ดำRoyal Stout ของคาลส์เบิร์ก มาเลย์ สไตล์เดนนิชเป็นเบียร์สีดำกลิ่นออกโสมเกาหลีดีกรี8% ลองชิมที่บ้านเพื่อนคนแคนนาดาคุณAndyเผอิญเพื่อนคนฮอลแลนด์ชื่อดุ๊กแวะมาเยี่ยมที่พัทลุง เมื่อช่วงงานบุญส่งผีปู่ย่าตายายเมื่อ 29ก.ย.ที่ผ่านมา ก็แรงดีกระป๋องเดียวก็ตึงแล้ว นอกเรื่องอีกแล้วมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทีนี้มาเข้าเรื่องของ Sài Gòn xanh กัน ซึ่งคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเบียร์แต่เกี่ยวข้องกับการสร้างนิสัยรักษ์สิ่งแวดล้อมและพื้นที่สีเขียวของชาวไซง่อน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อข่าวท้องถิ่นไซง่อน ได้ย้ำถึงผลการรายงาน การอภิปรายปัญหามากมายที่เกิดจากการใช้ถุงพลาสติก(Poly Ethylene=PE) หรือตามที่คนเวียตนามเรียกว่า túi xốp siêu thị(ตุ๊ย ซ้อบ ซิว ถิ=ถุงห้างช้อปปิ้ง) หรือ túi nylong(ตุ๊ย นาย ลอง=ถุงไนล่อน) ซึ่งถุงเหล่านี้สามารถพบได้โดยทั่วไปตามบ้าน เมื่อเลิกงาน บรรดาผู้คนไปตลาดเพื่อซื้อกับข้าวในมื้อเย็น รวมทั้ง เนื้อ ผัก ปลา อาหาร ซึ่งต้องใช้ถุงพลาสติกใส่แยกชิ้นกัน หลังรับประทานเสร็จเศษอาหาร ต่างๆรวมทั้งขยะต่างๆที่ต้องใส่ลงถุง ลงถังกันในแต่ละวัน จากข้อมูลดังกล่าวถ้านับแล้ว วันละเฉลี่ยห้าถึงสิบถุงใน 260วันต่อปี(คนทำงาน5วันต่อสัปดาห์,ปีละ52สัปดาห์) แต่ละปี คนไซง่อนคนหนึ่งจะสร้างขยะถุงพลาสติกถึงกว่า 1,300 ใบ โดยในจำนวนนี้ยังไม่รวมการใช้ถุงพลาสติกในช่วงหยุดสุดสัปดาห์! ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ก็คงไม่ได้มากมายตามสถิติการใช้ต่อปี โดยชาวเวียตนามมีการใช้ถุงพลาสติกถึง 40 พันล้านถุงต่อปี คนเวียตนามทิ้งถุงดังกล่าว 480 ถุงต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ อย่างในอังกฤษ คนเขาใช้ถุงพลาสติก 8พันล้านถุงต่อปีเฉลี่ย 133 ถุงต่อคนต่อปี ในเวียตนาม ถุงพลาสติกใช้ได้ทนทานนานกว่าห่อด้วยกระดาษและใบตอง แต่ว่าการย่อยสลายตัวนั้นยาวนานมากๆ อย่างในประเทศที่กำลังพัฒนา หลายๆประเทศเองก็ได้ประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับถุงพลาสติกต่อสังคมและชุมชน เช่นกัน โดยในเวียตนาม เมืองโฮจิมินห์ ห้าง METRO CASH&CARRY(ถนนออกเมืองไซง่อนสายฮานอยก่อนถึงเขตถู ดึก) เป็นเป้าหมายแรกของการหยุดขยะพลาสติก และสนับสนุนการใช้ถุงผ้าแทนที่ แต่ก็มีร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ยังคงยากที่จะงดใช้ถุงพลาสติก เพราะทุนไม่หนาพออย่างห้างใหญ่ๆ หากต้องแจกถุงผ้า ทางหน่วยงานของรัฐเองก็สนับสนุนการประหยัดพลังงานไฟฟ้าโดยการใช้น้อยและปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นใช้งาน ปรับเครื่องทำความเย็นให้สูงขึ้นเพื่อประหยัดไฟ ในส่วนของบ้านเรือน โรงงาน ปรับเปลี่ยนไปใช้หลอดผอมประหยัดไฟ แทนหลอดไส้ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา EVN(Electricity of Vietnam) หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและจัดจำหน่ายเวียตนาม ได้มีการรณรงค์ใช้หลอดประหยัดไฟ มีการจัดจำหน่ายไปทั่วประเทศ แต่แผนงานก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายนักที่จะประสบผลเพราะทางEVNเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ไม่ได้เป็นผู้ขายหลอดไฟโดยตรง การขยับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันรถเป็นเหมือนการบังคับให้คนไซง่อนต้องรักษ์สิ่งแวดล้อมไปโดยปริยาย ทางการเองก็รณรงค์การงดใช้ มอ'ไซต์แล้วหันมาใช้รถเมล์ หรือเดินเท้าในระยะทางใกล้ๆแทน บางคนก็หันมาใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วยการใช้กระดาษแทนถุงพลาสติก พูดง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาพอควร บางครั้งต้องลดความสะดวกสบายลงบ้าง Bioplastic ซึ่งเป็นพลาสติกพิเศษผสมเส้นใยธรรมชาติสามารถย่อยสลายได้ด้วยตนเองเป็นแนวคิดหนึ่งที่จะเข้ามาแทนที่ถุงพลาสติก แต่ก็ยังคงมีราคาที่สูงอยู่ ซึ่งก็คงยากหากจะงดใช้ถุงพลาสติกที่สะดวกกว่าในทันที การนำแนวคิดมาใช้ควรเริ่มทำที่ตัวแทนจำหน่ายผู้ผลิตที่จะลดการผลิตถุงนี้ โดยเริ่มจากการทำหีบห่อด้วยกระดาษหลายกล่องแล้วนำไปใส่ถุงพลาสติกใหญ่เพียงถุงเดียว อันนี้ก็ช่วยได้ ส่วนบ้านเราก็มีการนำกระดาษอัดชานอ้อยเป็นจาน ถ้วย ราคาก็สูงพอควร พอใช้ซ้ำครั้งสองครั้งพอได้ มาตรการของห้าง METRO CASH&CARRY นั้นได้เริ่มการงดแจกถุงพลาสติกฟรี จนสิ้นสุดเวลา จึงจะทำการขายถุงผ้าโดยลูกค้าต้องจ่ายเงินซื้อเอง แต่ก็นับว่ามีประโยชน์เพราะถุงผ้านั้นใช้ใส่ของได้หลายๆครั้ง ผู้จัดจำหน่ายทั่วไปก็สามารถทำได้ ยิ่งถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้งดการใช้ถุงพลาสติก หรือหากจะปรับราคาถุงเล็กให้สูงขึ้นและปรับราคาถุงใหญ่ให้ถูกลง โดยทั่วไปแล้ว ถุงใหญ่สนนราคาถุงละ1.000หรือ2.000ด่อง แม่บ้านไซง่อนหลายคนเองก็คงไม่อยากซื้อไปใช้แน่เมื่อเทียบกับการที่ต้องใช้ถึงสี่ถุง บางทีเอาตังค์นั้นไปซื้อ Sài Gòn xanh สักขวดให้สามียังจะดีกว่า ฮ่า...(สี่ถุง=8.000ด่อง=เบียร์ 1 ขวด) ที่มา:Quynh Thu,Saigon Times Weekly

Saturday, September 8, 2007

Black Hole Part I

วันนี้กลับจากเดินทางไปเที่ยวชลบุรีกับแม่ น้องชายและน้องสะใภ้ ระหว่างทางได้แวะเที่ยวที่หาดบางแสน เรานั่งคุยกันดื่มเบียร์กันเล็กน้อย มีเรื่องนึงที่น้องชายถามเกี่ยวกับสาวๆบริการ ผมก็ไม่เชิงอยากจะเล่าให้ฟัง แต่ก็บอกเล่าไปตามที่ได้พบเห็นมา ซึ่งวิถีชีวิตพวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากสาวๆที่บริการในบ้านเรา มีความจำเป็น เรื่องเงินเรื่องทองไม่ต่างจากบ้านเรา มีคำพูดที่เปรียบเทียบกับสาวๆเหล่านี้ว่า ก่า ม้ำ ด๋อ หรือ ไก่เล็บแดง เป็นผู้หญิงกลางคืนก็ว่าได้ อย่างปี พ.ศ. 2546 ตอนนั้นกระแสสายเดี่ยวการทำผมไฮไล้ท์ทำผมสีสรรต่างๆ ซึ่งวิถีรูปแบบนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ จะมีเฉพาะผู้หญิงกลางคืนเท่านั้นที่ทำกัน และที่สำคัญ สาวๆเหล่านี้มีเงินดอลล่าร์ตุงกระเป๋า ขับรถมอเตอร์ไซต์ฮอนด้าอย่างสมัยนั้นก็รุ่นเอชฮัก(SH) รุ่นอาร์ม๊อบ(@) คันเป็นแสนแสนบาท มือถือโนเกียรุ่นท๊อปฮิต แต่งหน้าตาสีฉูดฉาด แต่ตอนนี้ก็เป็นเรื่องปกติเพราะกระแสถึงกันแล้ว ตอนนั้น เพื่อนที่ทำงานมักล้อเล่นกันเรื่องไปดื่มกาแฟตอนดึก หรือกาแฟอม(โอม=กอด) ตอนนั้นผมได้เคยไปใช้บริการครั้งหนึ่ง ตอนไปเที่ยวที่ เขตมุ่ยแน๊ จ.ฟานทิ๊ก เป็นเขตท่องเที่ยวชายทะเลแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อ ผมและกลุ่มคนไทยเราไปดื่มกันพอสมควร คนขับรถเวียตพาเราไปเที่ยวร้านกาแฟอม อันดับแรกก็ไปนั่งรอห้องรวม สั่งเครื่องดื่มนัมเบอร์วัน(กลิ่นสีคล้ายเครื่องดื่มกระทิงแดง) เครื่องดื่มน้ำอัดลม เลือกสาวๆมานั่งกอดรัดฟัดเหวี่ยงตามสะดวก แล้วแต่ฝีมือ คนคุยเวียตนามได้อย่างผมก็พอได้เปรียบเล็กน้อย บรรยากาศภายในห้องไม่ค่อยจะเป็นใจเพราะเก้าอี้ม้านั่งก็ไม่ค่อยดี ฝาผนังก็ไม้กระดานบางๆ ไฟก็หลอดไส้สีแดง สักพักยังไม่ทันไร สาวๆก็เดินเข้าออก วิ่งรอกไปห้องโน้นห้องนี้ เพื่อเอาทิปกับโต๊ะอื่น เราเองก็งงกับการบริการที่นี่ สุดท้ายก็มีคนออกมาบอกให้เราออกมา ว่าตำรวจกำลังมาตรวจ เป็นอันว่าจบกัน

เคยถามสาวๆพวกนี้เหมือนกันส่วนมาก มักจะคิดว่าคนต่างชาติเป็นเอดส์(=สีดา) เพราะตอนนั้นเป็นกันเยอะมาก อาจเป็นที่การศึกษาและอายที่จะใช้ถุงยางป้องกัน การกอดจูบลูบคลำก็เป็นการคลายเครียดกันสำหรับคนหนุ่มสาวที่นั่นอย่างถ้าจะเลยเถิดไปกว่านั้นก็แล้วแต่ จะเข้าโรงแรมก็ตังค์มีน้อยอาศัยสวนสาธารณะจอดมอไซต์จู๋จี๋กันจะประหยัดกว่า ผมจึงไม่แปลกใจที่เห็นบรรยากาศอย่างนี้เป็นเรื่องปกติของคนที่นั่นเมื่อตอนนั้น มีคนเคยบอกว่ามีอาชีพที่นิยมสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนจบอะไรมาก็คือถ้าไม่เปิดร้านกาแฟ ก็ร้านเสริมสวย สาวกลางคืนหลายคนฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจแบบนี้เฝ้าเก็บเงินยามอายุมากอย่าง 23 ปีขึ้นไป ก็ถือว่าแก่แล้วขายออกยาก (เพราะส่วนมากเริ่มมาทำธุรกิจกลางคืนก็เริ่มอายุ16ปีขึ้นไป) อายุมากก็หันมาทำงานส่วนตัว แต่ก็มีน้อยรายที่ประสบความสำเร็จ เพราะส่วนมากจะขาดความรู้ความอดทนสู้ทำงานกลางคืนที่หาเงินง่ายกว่า และหาทางออกโดยการแต่งงานกับคนต่างชาติ โดยจะชวนฝ่ายชายไปเที่ยวที่บ้านนอกพบพ่อแม่ นี่เป็นวงจรที่ได้พบเห็นมา ร้านกาแฟก็มีบ้างที่แอบแฝงประกอบการค้าประเวณี อย่างกาแฟอม ก็เช่นกัน บางที่ก็หนักกว่าเรียกว่า กาแฟ เตร็น เหยิ่ง(=กาแฟบนเตียง) อันนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟแล้วกอดอย่างเดียว แต่ได้ร่วมนอนด้วย ตอนนั้นผมได้อ่านพบในหนังสือพิมพ์ที่นั่น ก็เลยสอบถามเพื่อนเวียตดู เขาบอกว่าส่วนมากจะมีแถวต่างจังหวัด รอบนอกเมือง ทางการก็กวดขันจับกุมเพราะผิดกฎหมาย หรืออาจจะไม่จ่ายให้ถูกกฎมากกว่า ถ้าจ่ายก็ไม่มีปัญหา อย่างโรงแรมไม่ว่าจะพาเพื่อนชายหรือหญิงถ้าเป็นคนต่างชาติ ก็ต้องแยกห้อง เราต้องจองสองห้องไม่งั้นทางโรงแรมไม่ยอมให้พัก เพราะเขาต้องหนีบเอาบัตรประชาชนของสาวกับเราแยกกันและยังมีขั้นตอนยุ่งยากอีก เอาไว้เล่าต่อคราวหน้านะครับ

Saturday, June 9, 2007

MAFIA VIETNAM

เมื่อปี 2006 ตอนนั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลนายนายกชวน(นายก=ถู ตื้ง)ก็เป็นช่วงรัฐบาลของ ถูตื้งทักษิณซึ่งเป็นช่วงที่มีการปรามปราบยาบ้า(ยาบ้า=มา ตุ๊ย)มีการฆ่าตัดตอนและวิสามัญฆาตกรรมกัน ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อฮก เรียนเก่งจบลาดกระบัง ถูกจับติดคุกลาดยาว ดีที่เพื่อนๆช่วยไว้ ไม่งั้นก็ไม่รอด(ตาย=เจ๊ท) ดังนั้นการไม่เกี่ยวข้องกับเส้นทางของอบายมุข ยังคงเป็นสัจธรรมที่ควรต้องปฏิบัติกว่า 2550 ปี การคบคนดีและสนับสนุนจึงควรทำ ขอยืมดำรัสในหลวงที่ว่า "ให้คนดีปกครองบ้านเมือง"ก็คงเป็นสัจธรรมเสมอ


ในขณะที่ผมเดินทางไปถึงที่นั่นใหม่ๆ เราก็ชอบสั่งน้ำส้มมาเสมอ(น้ำส้ม=นึก กาม) เพราะเราไม่นิยมดื่มน้ำซาสี่(กลิ่นคล้ายเบนโล)เว้นแต่ไม่มีอะไรให้ดื่ม แต่เรามักล้อกันว่าเวลาถามว่าดื่มน้ำอะไร เราเลยสั่งเอา "น้ำ กาม" ซึ่งเพื่อนvietnam ค่อนข้างวิตกกระซิบบอกเราว่าอย่าพูดอีก เพราะว่า นำ-กาม เป็นชื่อของมาเฟียขาใหญ่ของเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งเรื่องนี้คนที่นั่นรู้รายละเอียดแต่พูดอะไรไม่ได้ นำกามคนนี้และลูกสมุนนับสิบถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าทั้งหมด โดยสาเหตุมาจากกลุ่มของเขาฆาตกรรมนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรท่านหนึ่ง ประกอบกับเรื่องโกงกินและคอรัปชั่น ระหว่างกลุ่มมาเฟียและตำรวจ(ตำรวจ=กอม อาง)ที่นั่นกันอย่างกว้างขวาง และกระแสจากวิสามัญฆาตกรรมจากถูตื้งทักษิณ ทำให้มีการสร้างภาพกวาดล้างกลุ่มอิทธิพลที่โฮจิมินห์ กลุ่มอิทธิพลมีตั้งแต่ข้าราชการ ตำรวจสัญญาบัตร ประทวน จราจร เทศกิจ การเก็บค่าจอดมอเตอร์ไซต์(ครั้งละสองพันด่อง)และรถยนต์ตามถนนสาธารณะ(ครั้งละหมื่นด่องถึงสามหมื่นด่อง)ซึ่งก็คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับเรา แต่เป็นเรื่องที่คนvietnamรู้แต่พูดไม่ได้ ส่วนค่าพิเศษน้องน้องๆที่เราพามาจากร้านไปคุยค้างคืนที่ห้องก็ต้องจ่ายส่วนหนึ่งให้ตำรวจท้องที่แสนด่อง(รวมในค่าตัวของน้องๆ) และเจ้าของโรงแรมก็ต้องจ่ายด้วยเช่นกันเป็นค่าธรรมเนียมไม่งั้นโดนปรับถึงขั้นปิดโรงแรม เพราะที่vietnamมีสายสืบใน นอกเครื่องแบบและการรายงานจากแท๊กซี่(=แต๊ก ซี)และการแจ้งจากทางร้านที่เราพาเด็กๆ(=ก่า ม้ำ ด๋อ)ออกมาตลอดเวลา ดังนั้นค่าใช้จ่ายเราจะแพงกว่าคนvietnamสองถึงสามเท่าและต้องมาจ่ายค่าห้องสองห้องเพราะไม่มีทะเบียนสมรส เขาห้ามนอนห้องเดียวกัน ทุกวันก่อนเที่ยงคืนจะมีสายตรวจมาตรวจเสมอที่โรงแรม ดังนั้นเพื่อนผมบอกว่าพวกนี้นี่แหละเป็นมาเฟียตัวจริง


หลายคนอาจจะมองว่าศักยภาพและเศรษฐกิจของvietnamดีขึ้น นั่นเป็นภาพภายนอก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากพวกผมที่ต้องทำงานปากกัดตืนถีบ เพื่อนvietnamโทรมาเมื่อสัปดาห์ก่อน บอกว่าvietnamตอนนี้ดูวุ่นวายและรถติด(=แกก แซ)กว่าเดิม ความเป็นอยู่แย่กว่าเดิม แต่คนต่างชาติ(=เหง่ย นึก โหง่ย)เยอะมาก คนเห็นแก่ตัวมากขึ้นไม่ดีเลย ผมเลยเตือนสติเพื่อนว่าต้องอยู่แบบ "เด่ย ดู๋ ดู๋ หล่า หั่น ฟุ๊ก จอ เด่ย บ่าง" ทำนองว่าใช้ชีวิตแบบพอเพียงแล้วจะเป็นสุข และขอฝากคำนี้ไว้กับเพื่อนๆทุกคนนะครับ เงินไม่ได้แก้ปัญหาได้ทุกอย่าง มีหลายอย่างที่เงินซื้อไม่ได้คือเวลา ความรู้สึก และจิตวิญญาน ฝันดีทุกท่านครับ

Sunday, May 13, 2007

Drunk and Die

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเที่ยวและดื่ม(=ดี เหยา)ตอนอยู่เวียตนาม แต่ไม่ชอบขับขี่เวลาเมา(=สิน) วันนั้นผมไปส่งเพื่อนที่ทำงานเป็นผู้หญิงระหว่างทางก็เจอคนงาน(=กำ เยิน)ที่ร้านเล็กๆริมถนน เขาชวนผมดื่มเบียร์เป็นเบียร์สดหรือเบียร์เตย(tươi=เตย) หรือเบียร์เฮยก็ได้ ยอมรับว่าสีเหลืองเหมือนเบียร์ทั่วไป ชิมแล้วมันค่อนข้างจืดไม่ค่อยขม น้ำแข็ง(=นึก ด๊า)ก็ตัดเป็นแท่งใส่พอดีแก้ว นั่งนานหลายนาทีกว่าจะละลาย(ดีกว่าน้ำแข็งหลอดบ้านเราแป๊บเดียวละลาย คนขายมีแต่กำไร) เข้าใจว่าไม่ต้องใส่น้ำแข็งบ่อย เสิร์ฟแต่เบียร์อย่างเดียว แบ่งขายเป็นแกลลอนราคาคนงานซื้อก็ตกแกลลอนละยี่สิบบาทไทย แต่ก็ทำเอาผมมึนทีเดียว เพื่อนบอกว่าอย่าไปดื่มบ่อยเพราะผสมยาฆ่าหญ้ามันอันตราย(nguy hiểm=งุย เห-ม) เมื่อปีที่แล้วผมเองก็ได้อ่านข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่อย่างว่าคนที่มีน้ำใจอย่างผมจะปฏิเสธคำเชื้อเชิญดื่มของคนงานได้อย่างไร...เอ้า หมด ฮาย บา...คอม ซาย คอม เหย่(=หนึ่งสองสาม...ไม่เมาไม่กลับ) วันนั้นเลยเป๋กลับห้องนอนตามระเบียบ

ตอนเมื่อปี2004 ก็ได้มีโอกาสไปทำงานที่นิคมไทฮวา จ.ลองอัน ผู้ใหญ่บ้านเขตดึ๊ก หล่อบ ห่า ชวนผมดื่มวันนั้นเป็นเหล้าขาว(หรู กาว) วันนั้นดื่มหมดไปแกลลอนทำเอาเมาแฮ้งค์ไปสองวันเลย แต่ยังดีที่เพื่อนเวียตพากลับห้อง ทำเอาผมอ้วกตลอดทางกลับไปบ้านพักแถวหน้าสนามบินตันเซิงยึก เพื่องานนี่ผมทุ่มเทจริงๆ ชื่อผู้ใหญ่บ้าน ชื่อหล่าว(ตามรูปที่โชว์พุงให้ดู ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามเลียนแบบ) ถ้าผมแวะไปเวียตนามทุกครั้งก็ยังคงพบเจอกัน เป็นคนที่จริงใจดีลูกทุ่งเหมือนผม ฮ่า...

ปี 2003 มีอยู่ครั้งหนึ่งผมและผู้จัดการเดินทางด้วยรถแท๊กซี่จากไซง่อนกลับที่ที่พักระหว่างทางก่อนถึงสะพานบินห์ถวน(=เก่า บิน ถวน) ก็เจออุบัติเหตุ(tai nạn=ตาย แหนง) ก็คงประมาณว่าตายแน่... จากสภาพที่เห็นรถที่เวียตนามปกติจะวิ่งชิดขวา(=เบน ฝาย)คิดว่ารถมอเตอร์ไซต์แซงซ้ายแล้วรถเทรลเลอร์ก็ชนทับซะเละเลย ส่วนอีกศพขับมอเตอร์ไซต์ชนท้ายรถบรรทุกหลังหักคารถมอเตอร์ไซต์ สรุปสองศพคืนนั้น ทำเอาเราต้องรีบกลับห้อง เป็นอะไรที่สยอง มาก มาก กลัวจนนอนไม่หลับเลย(=คอม โหงว เดิก)

Wednesday, May 9, 2007

Gay in Vietnam

กะเทย หรือที่คนเวียตนามเรียกว่า "เม เด" ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นคำเปรียบเทียบ หรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ ตั้งแต่เริ่มเข้าไปทำงานที่ อ.บินห์ยึง ผมได้เดินทางไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ Khách sạn Phuong Nam(=คัด แฉ่ง เฟือง นำ=โรงแรมถิ่นใต้) คนขับรถชื่อถั่น มีพนักงานมาต้อนรับพร้อมขอพาสปอร์ตเพื่อทำลงแจ้งการพักของคนต่างด้าวในเขตสถานีตำรวจท้องถิ่นและอีกใบคือใบเหลืองที่กรอกตอนอยู่บนเครื่องบินต้องแนบไปด้วยกัน ดังนั้น ผมจึงต้องขอสำเนาเก็บไว้อย่างละหนึ่งชุด เพื่อสะดวกในการออกไปกินเหล้าของพวกเรา...เอ้ยไม่ใช่...เพื่อการขอตรวจค้นในระหว่างเดินเอกสารต่อเจ้าหน้าที่
(ดูที่http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=j_inrudee&topic=36 )

บรรยากาศภายในร่มรื่นดี เจ้าของโรงแรมพอทราบว่าเราเป็นกลุ่มคนไทยก็ดีใจ และตัวเขาเองก็เดินทางไปเที่ยวเมืองไทยบ่อยๆโดยเฉพาะพัทยา เชียงใหม่ กรุงเทพ ก็รู้สึกประทับใจ และได้นำความคิดต่างๆมาทำการปรับปรุงโรงแรมของเขาเองให้สวยงาม มีเรื่องเด็ดเด็ดเกิดขึ้นที่นี่มากมายคงเอาไว้เล่าคราวหน้า ในบรรดาพนักงานโรงแรมแทบจะหาคนพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก มีเพียง สองคนเท่านั้นที่พอจะรู้บ้าง หนึ่งในนั้นเป็น "เม เด" ท่าทางก็ตุ้งติ้ง แต่นิสัยดี ไม่แต่งหน้าทาปากเสริมนม หรือแสดงกิริยารบกวนแขก ตั้งแต่ มาโฮจิมินห์ จนถึงปัจจุบัน ผมพบเห็น เม เด ไม่เกินสิบคนเอง ก็ถือว่าแปลก ผมว่าสิ่งนี้สังคมชาวเวียตไม่อาจยอมรับ เป็นสิ่งไม่น่านับถือ และสื่อทีวีก็ไม่ได้เผยแพร่อย่างบ้านเรา ดังนั้นการลอกเลียนแบบแล้วถือเอาอย่างนิยมก็เลยไม่ค่อยมีให้เห็น นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่บ้านเราต้องกลับมาทบทวนอีกแล้วซิ เครียดเลย...ปกติกลางวันจะพบเจอ เมเด นั้นยาก ผมพบโดยมากจะเป็นกลุ่มเที่ยวกลางคืน อย่างที่ผับอะโพกาลิป นี่ก็เยอะโดยมากจะจับฝรั่ง หน้าไทยใสๆเลยรอดไป กับอีกที่ก็ผับแถวถนนเหวียงเหว่ ผับนัมเบอร์วันเลทั้นโต ก็เลิกร้านประมาณเที่ยงคืน ผมเห็นเมเด พาน้องไก่มาล่อหลอกฝรั่ง แต่ฝรั่งไม่เล่นด้วยเลยแห้วทั้งคู่ ฮ่า..
รูปนี้ถ่ายที่โรงแรมนานแล้วเมื่อปี 2003 เป็นช่วง Tet ปีใหม่ ทุกที่จะประดับดอกไม้นำโชคสีเหลือง Hoa Mai (ฮวา มาย) คงไม่เกี่ยวกับเรารักในหลวงนะครับ เพราะเขาปฏิบัติกันมานานแล้ว ส่วนภาคเหนือจะเป็นดอกสีแดง เรียกว่า Hoa Dao (ฮวา ด่าว) ทางเหนือจะมีความเชื่อเกี่ยวกับปกป้องภัยจากภูตผี ทางใต้จะเชื่อเรื่องนำโชคและความสุข จึงนิยมตั้งไว้หน้าบ้านช่วงเทศกาลปีใหม่ ราคาเช่าหรือขายเป็นกระถางถูกแพงขึ้นกับจำนวนพุ่มดอกและทรงของต้น ดอกยิ่งเยอะยิ่งแพง(คงเหมือนดอกเบี้ย) เคยถามเพื่อนๆเหมือนกันว่าหมดช่วงเทศกาลไม่มีดอกแล้วทำอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่าโดยมากเขาจะเอากลับไปที่สถานอนุบาลต้นไม้ซึ่งอยู่นอกเมือง พอช่วงเทศกาลบางคนซื้อบางคนเช่าก็แล้วแต่นะครับ แต่ยังไงก็คงจะราคาถูกกว่า องค์จตรุคาม ที่กำลังนิยมกันอยู่ในบ้านเรานะ เพราะคนเวียตเขาไม่แขวนพระ จะมีก็แต่คนเวียตคริสเตียนที่แขวนแต่กางแขนนะครับ ฮ่า...