หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)
Showing posts with label food. Show all posts
Showing posts with label food. Show all posts

Thursday, November 12, 2009

รำลึกถึงปลาก๊าแก่ว

Cá Kèo(ก๊า แก่ว) ดูแล้วคล้ายปลาตีน ชาวภาคใต้บ้านเราเรียกว่าปลาท่องเที่ยว(Trypauchen vagina) ชาวจีนเรียกว่าปลาอั้งโกหลัน ตัวยาว หัวกลมรี ทู่ เกล็ดอ่อน ลำตัวขาวอมแดง อาศัยตามก้นอ่าวเลนตมวางไข่ตามปากน้ำ หรือบริเวณน้ำกร่อย แม่น้ำลำคลอง บางแห่งตามบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเวียตนาม ตามจังหวัดสุราษฎร์ นครศรีฯ สงขลา ในอินเดียถึงตาฮิติและจีนตอนเหนือ เป็นปลากินพืช รากพืชอ่อน โตเต็มที่ ยาวเกือบ 8นิ้ว หนัก 0.77ออนซ์ ชอบขุดรูตามพื้นทะเลที่เป็นโคลนอยู่ไม่เป็นที่ พอน้ำหลากรูปิด ก็ออกจากรูพบมากในฤดูฝน ชาวบ้านใช้เบ็ดจับไม่ได้ ต้องใช้

Friday, August 15, 2008

Famous Food I

ไปกินข้าวที่โรงอาหารของบริษัททำให้นึกถึงอาหารเวียตนามหลายอย่างด้วยกัน แต่ที่ขึ้นชื่อ และที่เคยเห็นและได้ยินมา เท่าที่พอจำได้ก็พอมีดังนี้ 1.Bò 7 Món(บ่อ ไบ๋ โม้น) หรืออาหารชุดโต๊ะจีนเจ็ดอย่างปรุงจากเนื้อวัว นิยมเสริฟกินกันในงานแต่งงานโดยดัดแปลงมาจาก Cá 7 Món ซึ่งเป็นอาหารชุดที่ปรุงมาจากปลา อาหารเหล่านี้เป็นที่นิยมจัดทำกันมาก ผมเข้าใจว่าคงเป็นอย่างโต๊ะจีนบ้านเรา ท่านที่เคยไปงานแต่งที่เวียตนามก็คงพบเห็นบ่อยๆอาหารก็คล้ายกันไม่แตกต่าง 2.Phở (เฝ๋อ)ก๊วยเตี๋ยวญวน เส้นทำจากข้าว อันนี้คงเป็นที่ทราบกันแล้วคงไม่ต้องบรรยายมาก อาทิ Phở bò(เฝ๋อ บ่อ)ก๊วยเตี๋ยวเนื้อ อันนี้หากินง่าย เท่าที่สังเกตจะนิยมกินกันตอนเช้า เที่ยงก็ทานข้าวปกติ อย่างขนมปังบั๊นหมี่ก็นิยมตอนเช้าเช่นกัน เครื่องปรุงที่ต่างจากก๊วยเตี๋ยวก็คงเป็นการใส่น้ำกะปิ(ม้ำโตม) น้ำกระเทียมดอง(ต๋อย) น้ำมันเจียวตะไคร้(สา) ซอสถั่วสีดำอย่างกับถั่วเน่า อยากเผ็ดก็สั่งเอิ๊ดบับ(พริกสับ)เอง หรือเติงเอิ๊ด(ซอสพริก)ก็แก้ขัดได้ แต่สิ่งที่ต้องระวังในการกินกับผักบางอย่างซึ่งบางคนไม่ชอบเช่นผักไผ่ ผักแพ้ว ตัวสำคัญก็คือเจ้า rau đắng(เรา ดั๊ง)ซึ่งต้นคล้ายคุณนายตื่นสายขมมาก บางคนใส่ไปแบบไม่รู้ ไม่คุ้นรส(เช่นผมเป็นต้น ฮ่า...)ดูที่รูปเอาเองนะครับ 3.Bánh bao(บั๊น บาว) สิ่งนี้หรือคือ ซาลาเปา นั่นเอง ครับ ผมเคยซื้อกินบ่อยที่ไซง่อน แม้ว่าตอนที่ผมทำงานที่นั่นจะหาข้าวต้มกินหลังเที่ยวกลางคืนยาก หรือไม่มี ก็ได้เจ้านี่ช่วยไว้เยอะ ซื้อบ่อยก็ตรงใกล้ๆวงเวียนห่างซันเส้นทางจะออกไปสะพานบิ่นจิ๋ว อร่อยดีใส่เนื้อเยอะด้วย(แต่ก็สงสัยเหมือนกันว่าเนื้ออะไร ฮ่า...)ราคาก็ลูกละสิบบาทตอนนั้น อันที่จริงแล้วกลุ่มกินเจ(=เหง่ย อัง ใจ)และพระที่นั่นจะนิยมกินกันมากกว่า 4.Bánh chưng(บั๊น จึง) คล้าย บ๊ะจ่างของจีนครับ ห่อข้าวเหนียวใบตองเป็นทรงสี่เหลี่ยมกว้างยาวคืบใส่ถั่วเหลืองถั่วดำแดงมันหมูรองด้านล่างแล้วนึ่ง นิยมในงานปรเพณีปีใหม่(Tet) ทางปักษ์ใต้จะเรียกว่า Bánh Tet(บั๊น เต้ด) แต่ก็เข้าใจตรงกัน กินกับกิมจิอร่อยมาก แต่แคลอรี่สูงไปหน่อย กินแล้วหมับ(=อ้วน) 5.Bánh mì kẹp thịt(บั๊น หมี่ เก็บ ถิด) หรือแซนวิชเนื้อ นั่นเอง ตามอย่างฝรั่งเศสใส่ทุกอย่างคล้ายกัน เนย(=เบอ) ชีส แฮม บางที่ใส่เนื้อปูสับ เนื้อวัวบดทำคล้ายอย่างเนยแต่เค็มโครตเลยคงเหมาะกับการกินขนมปัง พริก น้ำส้มปรุงตามใจสั่ง ชี้สั่งไปเถอะครับ เป็นอาหารที่หากินง่ายพบได้ตอนเช้า และเย็น ใส่หาบคอนขายหรือใส่หาบผูกรถจักรยานมา ทานช่วงเช้าจะดี เพื่อนบางคนแบ่งสองส่วนกินเช้าต่อเที่ยงประหยัดจริงจริง ตอนนั้นปี 2546 ราคาถูกมากแค่ หมก เหง่หมก อ๋อ(สาม บาท หนึ่ง ชิ้น) คนงานโรงงาน เด็กนักเรียน หรือกรรมกร อย่างผมชอบมากๆ จะว่าไปเจ้าบั๊นหมี่เองก็มีการปรุงเป็นอาหารได้หลากหลายแบบด้วยกัน แต่ที่นิยมกันมากมีดังนี้ -Banh mi xiu mai(บั๊นหมี่ ซิว หมาย=ใส่ลูกชิ้นใหญ่) -Banh mi xa xiu(บั๊นหมี่ ซา ซิว=ใส่หมูแผ่นบาบีคิว) -Banh mi ธรรมดา อุ่นร้อนๆ จิ้มกินกับไข่ดาวทอดพอสุกดิบโรยพริกไทยใส่ซอสถั่วเหลือง(=นึก เติง) กินตอนเช้าจะอร่อยมากเรียกว่าบั๊นหมี่ อ๊อฟ ลา หรือจะจิ้มกับเนย(=เบอ)ก็อร่อยไปอีกแบบ ถ้ากินกับปลากระป๋อง(=ก๊า ลอง) ผมจะเรียกว่าบั๊นหมี่ก๊าลอง ยังมีอาหารอีกหลายอย่างคงไว้เล่าคราวหน้าวันนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับ ที่มา:EN.WIKIPEDIA.COM

Saturday, March 8, 2008

นึก จ๊ำ น้ำจิ้มสูตรเวียตนาม

Nước chấm เป็นน้ำจิ้มไสต์เวียตนามที่พบเห็นได้บ่อยบนโต๊ะอาหาร เหมือนซอสน้ำจิ้มบ๊วยที่เหลวใสเกือบเหมือนน้ำสีส้มเข้ม โดยที่เราเองก็สามารถปรุงได้ที่บ้าน ลองดูนะครับ น้ำจิ้มมีส่วนประกอบเครื่องปรุงดังนี้

-น้ำมะนาว 1 ส่วน ใช้น้ำส้มสายชูแทนก็ได้หรือน้ำมะขามก็ดีจะอมหวานด้วย สีอาจเทาบางคนไม่ชอบ
-น้ำปลา 1 ส่วน
-น้ำตาล 1 ส่วน
-น้ำสะอาด 2

ส่วนบางคนชอบเติมกระเทียมสับ พริกสดทุบพอแหลกเอาเม็ดออก เพิ่มผงชูรส แครอทฝานเป็นเส้นๆ ฯลฯ ปกติจะอุ่นน้ำผสมน้ำตาล ให้ละลายก่อน รอให้เย็นลงจึงปรุงส่วนผสมลงไป เปรี้ยวหวานมันเค็มแล้วแต่คนชอบ สูตรไม่ตายตัว ทั่วไปจะเน้นรสหวานแหลมนำเปรี้ยวจี๊ด เผ็ดรองลงมา โดยนำมากินกับอาหารดังนี้
-ข้าวเกรียบ (Cơm tấm เกิม ตั๊ม) อันนี้บ้านเรามี
-ปอเปี๊ยทอด(Chả giò จ๋า หย่อ) อันนี้บ้านเรามี
-ก๋วยเตี๋ยวหลอด(Gỏi cuốn ก๋อย ก้วน) อันนี้บ้านเรามี
-ขนมกระเบื้องญวน(Bánh Xèo บั๊น แซ่ว) แผ่นแป้งทอดปรุงใส่น้ำกะทิ คล้ายหอยทอดบ้านเรา ใส่กุ้ง หมู ถั่วลิสงบด เป็นแผ่นแป้งเหลืองกลมพับครึ่งเวลาเสิร์ฟ ขอเรียกว่า พิชซ่าถาดเวียตนาม แล้วกัน
-ก๊วยเตี๋ยวญวนคลุกขลิก(Bánh hõi บั๊น ฮอย) เทียบได้กับข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเราแต่ไม่ใส่ไส้ ทำจากแป้งข้าวเจ้าคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยวหลอดหลายแผ่น วางซ้อนพอคำ เพื่อไม่ให้แผ่นแป้งติดกันเป็นก้อนจึงใส่น้ำมัน และหอมเจียว ใส่เนื้อหมูแผ่น เติมน้ำจิ้มลงไปคลุกเคล้าแห้งๆ
ที่มา: Wikipedia

Friday, November 2, 2007

ข้าวเหนียวนึ่งมื้อเช้ายอดนิยม

โดย Quynh Thu
สำหรับชาวไซง่อนที่รายได้น้อย โซย(xôi)หรือข้าวเหนียว ยังคงได้รับความนิยมในมื้อเช้าซึ่งพวกเขาพอที่มีงบจ่ายได้

บนถนน Le Loi เขตหนึ่งใจกลางกรุงไซง่อน ตรงไปแล้วเลี้ยวซ้ายตรงมุมถนน Pasteur แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้งตรงแยกถนนแรก และคุณจะเห็น เสาไฟที่เก่าแก่ที่สุดบนถนนLe Thanh Ton ในทรงเก่าแก่จนไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อไหร่แต่ก็กล่าวได้ว่ามันคงอยู่มากว่าหลายทศวรรษแล้ว

ทุกเช้าตั้งแต่หกโมงถึงเก้าโมงบนบริเวณทางเท้าใกล้กับเสาไฟนี้จะมีหญิงชราคนหนึ่งขายข้าวเหนียวนึ่ง อาหารเช้าฟาสฟู๊ดสไตล์เวียตนาม คุณยายกล่าวว่าได้ขายมาเป็นสิบสิบปีแล้ว ตามคำเล่าของคนที่อยู่แถวนั้นกล่าวว่าแกขายมานานพอพอกับอายุของเสาไฟต้นนี้

กล่าวโดยทั่วไป ข้าวเหนียวถูกนึ่ง เพื่อให้น่ารับประทานข้าวเหนียวนึ่งจึงมีหลากหลายสีสรร ถ้าใส่ lá da(ล้า ยา=ใบเตย)จะทำให้มีสีเขียว ถ้าใส่ np than(อัญชัน) ทำให้เป็นสีม่วง ถ้าใส่ขมิ้นจะมีสีส้ม ข้าวเหนียวที่มีสีสรรต่างๆนี้จะถูกเรียกรวมกันว่า xôi ngt(โซย หงอด)หรือ ข้าวเหนียวหวาน เพราะใส่น้ำตาลลงไปด้วย ใส่เนื้อมะพร้าวขูดและงาโรยหน้า เราจะสามารถเห็นได้ว่าทั้งหมดมาจากธัญญาพืช

ในทางกลับกัน โดยแท้จริงแล้ว xôi ngt(โซย หงอด=ข้าวเหนียวนึ่งหวาน) เดิมมาจาก xôi mn(โซย หม่าน=ข้าวเหนียวนึ่งเค็ม)ที่ใช้รับประทานกับสำรับอาหารในมื้อปกติยอดนิยมอย่าง ข้าวเหนียวไส้อั่ว(xôi lp xng), ข้าวเหนียวไก่(xôi gà) หรือข้าวเหนียวหมูหยอง(xôi chà bông)

ข้าวเหนียวนึ่งยังคงเป็นที่นิยมในมื้อเช้าของชาวไซง่อน เหมาะกับคนรายได้น้อยและในหมู่เด็กนักเรียนด้วยงบเพียง 5.000 เวียตนามด่องหรือสิบสองบาทกว่า เพียงหนึ่งห่อก็ช่วยให้บางคนอิ่มยาวไปจนมื้อเที่ยงเลย
ข้าวเหนียวหวานเองก็ได้รับความนิยมไปทั่วเวียตนามซึ่งยังไม่มีที่ไหนปรุงได้อร่อยเท่าเมืองไซง่อน รวมทั้งข้าวเหนียวเค็มก็เช่นกัน

เมื่อชาวไซง่อนมีรายได้ที่ดีขึ้น ข้าวเหนียวปกติเองก็ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นเช่นกันจะเห็นได้จากร้านขายข้าวเหนียวเค็มหลายแห่งในไซง่อนตามมุมถนนBui Thi Xuanและถนน Cong Quynhในเขตหนึ่งเอง ที่เห็นมีผู้บริโภคเข้ามารับประทานข้าวเหนียวกันตั้งแต่เช้าจบเย็น

ในเมืองไซง่อน เองตามถนนCao Thang ได้รับฉายาว่าเป็น"ถนนแห่งข้าวนึ่ง" ในทุกวันตอนเย็น เลนหนึ่งของถนนจะเต็มไปด้วยรถเข็นขายข้าวเหนียวนึ่ง สังเกตได้จากหม้อนึ่งอลูมิเนียมหรือฝาปิดสเตนเลสขนาดใหญ่

มีคนไซง่อนที่นั่นเล่าเรื่องแบบติดตลกให้เราฟังว่า เขาพักอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์เขตBinh Thanh ทุกวันเขาจะซื้อข้าวนึ่งห่อนึงจากหญิงคนขายที่มีกว่ายี่สิบห่อ เธอเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในอพาร์ทเม้นท์แห่งนั้นเพราะข้าวนึ่งเธออร่อยราคาก็ย่อมเยา ทุกเช้าจะมีลูกค้ามารอเข้าแถวซื้อหน้ารถจักรยาน จนมีคนบางคนสงสัยว่าทำไมเธอไม่ขยายธุรกิจโดยการเปิดร้านขายหรือซื้อรถเข็นขายของ เธอบอกว่าอย่างแรกเธอไม่มีทุนและอีกอย่างคือเธอกลัวว่าจะถูกเทศกิจจับกุมที่ขายของบนทางเท้า

จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกค้าประจำของเธอก็ประหลาดใจเมื่อเธอบอกว่าจะเลิกขายแล้ว จะไปเรียนฝึกภาษาอังกฤษและงานสำนักงาน เพื่อหางานอื่นทำบ้าง ทำให้พวกเขาเองรู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้กินมื้อเช้าที่ราคาแสนถูก อร่อย และเอาใจใส่ลูกค้า มาอย่างดีโดยตลอด อีกต่อไป

หลังจากนั้นหลายเดือนต่อมา ผู้คนแถวนั้นก็ต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อ เธอและจักรยานคันเก่านั้นได้กลับมาอีกครั้ง พวกเขาดีใจมากที่จะได้มื้อเช้าที่อร่อยและราคาถูกอีกครั้ง เธอเล่าว่าการเรียนรู้ใหม่เป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับเธอ "ไม่มีอะไรที่ดีสำหรับฉันเท่ากับการขายข้าวนึ่งอีกแล้ว"

ธุรกิจเครือข่ายการขายอาหารประเภทฟาสฟู๊ดได้กระจายไปทั่วเมือง ได้สร้างกระแสค่านิยมใหม่ให้กับคนรุ่นใหม่ในไซง่อน อย่างแฮมเบอเกอร์ และมันฝรั่งทอด ที่เป็นอาหารกินเล่น ข้าวเหนียวนึ่งก็ยังคงอยู่เป็นอาหารยามเช้าตามหลายๆโรงเรียน ตามเขตที่ยากจน คนขายข้างถนนจะขายข้าวเหนียวใส่รถเข็นขายหรือใส่ตะกร้าขายแก่พวกเด็กนักเรียน คุณจะลองแวะไปดูแถวถนนNam Ky Khoi Nghia หน้าโรงเรียนเทคนิค Cao Thang ทุกเช้าช่วงเปิดเรียนจะมีคนขายกว่าสี่สิบคนจอดรถตามมุมถนนเพื่อขายข้าวเหนียว

แม้ว่าชาวไซง่อนจะมีชีวิตที่เจริญขึ้นและธุรกิจที่เติบโตขึ้น ข้าวเหนียวนึ่งก็ยังคงเป็นมื้อเช้าและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคนยากจนที่นั่น

ที่มา::The SaigonTimes Weekly(EN)

Sunday, April 29, 2007

Bird Flu

ผมเริ่มไปทำงานที่เวียตนาม โฮจิมินห์ซิตี้ เมื่อปี 2003 ตอนนั้นทางบ้านยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศนี้ รู้เพียงแต่ว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ และตอนนั้นไข้หวัดนกเริ่มระบาด(cúm gà=กุ๊ม ก่า) แม่ผมก็เตือนไม่ให้กินไก่ ก็เชื่อท่านไว้ก่อน ตอนผมลงเครื่องก็มีเครื่องสแกนความร้อนที่สนามบินทำเอาผมวิตกนิดหน่อย พอลงเครื่องท้องหิว ก็เลยไปกินข้าวกัน เจอ อาหารประเภทไก่ราดน้ำแดง(=ก่า คอ) ขายกันทั่วไปตามร้านข้าวราดแกง(=เตี่ยม อัง) ก็แปลกเหมือนกัน ไม่ยักจะน่ากลัวเหมือนที่คิด ผมว่าข่าวมันดูน่ากลัวเกินไป มื้อกลางวันเถ้าแก่(=อม จู๋)พาพวกเราไปกินเฝ๋อ ที่ร้านเฝ๋อฮวา(Pho Hoa) ถ.ปลาสเตอร์ (ผมไปอีกครั้งเมื่อสองปีก่อนมีร้านอาหารไทยชื่ออิ่มอร่อยไปเปิดข้างๆด้วย) ชามใหญ่มากทานเกือบไม่หมด ทราบว่าร้านนี้ขึ้นชื่อ มีบุคคลสำคัญต่างประเทศมาชิมกันแล้วหลายคน อย่างอดีตประธานาธิบดีบิลคลินน์ตันสหรัฐ และคนอื่นๆ สาระพัดสั่ง ไม่ว่าจะเฝ๋อก่า(=ไก่) แฮว(=หมู) บ่อ(=วัว) เฝ๋อจะไม่ใส่ลูกชิ้น(viên=ฟีง)เหมือนอย่างบ้านเรา แต่ใส่หมูยอ(จ๋า หลั๋ว)หรือแหนมเนือง นึ่งใบตองแกะใส่ชามขนาดพอคำ ถ้าอย่างบ้านเราก็คือใส่แคบหมูนะเอง ผักก็สารพัดผักหน้าตาส่วนมาก็คล้ายบ้านเราบางต้นเหมือนที่เราใช้จัดสวน ผักชีลาว ผักแพ้ว ผักขแยง ต้นคล้ายคุณนายตื่นสายก็มีอย่างนี้ขมหน่อย ส่วนมากจะต้มกินกับอาหารประเภทเหลา(ต้มยำ)จะดี มีอย่างนึงที่ร้านเขามีมา คือไข่ไก่ต้ม ผมก็เลยแกะเลย โทษทีครับเป็นไข่ข้าว แต่ไก่ยังมีตัวและขนอยู่ด้วยบางส่วน เอาไงดีแกะแล้ว ก็ลองกินเลยเดี๋ยวหาว่ารังเกียจของดีของร้าน แกะส่วนบนออกพอช้อนชาเข้าได้ เติมผงเครื่องปรุงที่ร้านมี ติว มุ้ย จัน(พริกไทย เกลือ นะนาว ผงชูรส) เหยาะลงไปใส่พริกปั่น(เอิ๊ด บั่บ) ลงนิดถ้าชอบเผ็ดดับคาว เติมผักแพ้วลงไปแก้เลี่ยน ช้อนตักกิน ก็อร่อยดี (กินทั้งที่กลัวหวัดนก ฮ่า...)แต่ท่านอื่นหน้ายี้เป็นแถว เท่าที่เพื่อนเล่าให้ฟัง หวัดนก จะระบาดในเขตนอกเมืองไกลเท่านั้น ทางราชการก็ประกาศลงโทษ คนที่ขนย้ายสัตว์ปีก จึงเห็นไก่ขายน้อยมากในตลาด ดังนั้นดูแล้วสถานการณ์หวัดนกก็ไม่ได้รุนแรงตามที่คาดไว้ วันนั้นเลยซัดไปสองใบเต็มเลย ฮ่า...

Friday, April 27, 2007

Vegetarian Food



เมื่อปี 2004 ช่วง Tet เทศกาลปีใหม่ ผม กับพี่พัฒน์ผู้จัดการ และบ๊อบ(คนเยอรมัน) เราเดินทางกลับมาถึงโฮจิมินห์ เวียตนาม บรรยากาศในเมืองเงียบสงบ ร้านปิดส่วนมาก แถวที่เราทำงานอยู่เป็นเขตนิคมเวียตนามสิงคโปร์(VSIP) ไม่มีร้านอาหารเปิดเลย เพื่อนเวียตเราเลยพาเรานั่งรถมอเตอร์ไซต์สามคันสามคน ไปหาอาหารทานกันที่ตลาดไล๊ทิว ไม่ไกลจากนิคม เราก็ได้ไปเจอร้านแห่งนึงติดคอสะพานเข้า เลยนั่งทานกันเป็นร้านข้าวราดแกง อุปกรณ์ก็มีช้อนหางยาว และตะเกียบเพื่อนเราชาวเยอรมันไม่ถนัดเลยขอใช้ช้อนส้อมดีกว่า(cái nĩa=ไก๊ เนี๋ย) แต่ก็สงสัยเหมือนกันว่าร้านนี้ทำไมคนขายแต่งชุดเทายาว พอนั่งทานอาหารก็รสแปลกๆ พอดูป้ายร้าน ก็เห็นเขียนว่า "ăn chay"(กินเจ) ถึงว่าดูอาหารเหมือนทั่วไป ก็พึ่งทราบเหมือนกันว่าที่นั่นก็มีอาหารแบบนี้ทานกะเขาเหมือนกันทุกอย่างที่ดูเหมือนเนื้อกับไข่ แต่จริงแล้วไม่ใช่เนื้อ ส่วนมากทำจากถั่ว สาหร่ายและอื่นๆ ถ้าท่านไหนเป็นมังสวิรัติก็แวะดูป้ายที่มีคำแบบนี้ ก็ตรงเข้าไปเลยนะครับ ไม่ต้องตามเทศกาลก็มีรับประทานครับ ผมก็เคยเห็นอาหารสำหรับทำอาหารเจพวกนี้มีขายที่ห้างซุปเปอร์มาร์เก็ตเหมือนกัน และเมื่อปี2006 ผมก็แวะไปทานอาหารแถวถนนบั๊ดด่าง(Bach Dang)ใกล้สนามบินตันเซิงยึกก็มีอีกร้านนึงที่เข้าไปทาน เพราะใกล้โรงแรมที่สุด จริงแล้วผมค่อนข้างสังเกตว่าร้านพวกนี้มีน้อยจริงไม่ค่อยเห็น อย่างบ้านเรา ที่เชียงใหม่หาทานได้ง่ายกว่า ที่พักผมใกล้สนามบินยังมีร้านอาหารแบบหมาปิ้งย่างเยอะซะด้วย(ผมไม่นิยมนะครับ) ถ้าเจอคำว่า "chó=จ้อ"บางที่ถึงไม่มีหัวหมาแขวนก็คือร้านอาหารขายเนื้อมะ หมา 4ขา นะเอง ครับ

Saturday, April 21, 2007

King Hung Celebration


ขนมเค้กยักษ์วันรำลึกกษัตริย์ห่มมหาราช
วันดังกล่าวตรงกันวันที่10เดือน3ตามปฏิทินจันทรคติ ซึ่งตามปฎิทินสากลคือวันที่ 26 เมษายน ในปีนี้ ที่เมืองโฮจิมินห์ซิตี้เองก็มีการฉลองเช่นกันโดยการทำขนมเค้กยักษ์อันได้แก่



บั๊น จึง(banh chungหรือbanh TET) ที่ทำจากข้าวเหนียวห่อใบตองเป็นทรงรูปสี่เหลี่ยมนึ่ง จำนวนหนึ่งชิ้น และขนมบั๊น หย่าย(banh day)ที่มีทรงคล้ายซาลาเปาทำจากเค้กข้าวจ้าว จำนวนหนึ่งชิ้น โดยจัดงานที่สวนวัฒนธรรมDam Sen ซึ่งปีนี้ตรงกันวันหยุด ทั้งนี้ทางสวนยังได้เชิญชวนแขกผู้มีเกียรติ ร่วมรับประทานขนมนี้เพื่อเป็นศิริมงคลในส่วนของบั๊นจึง มีขนาด 1.8x1.8x0.7 ม. ทำจากข้าวเหนียว 1,000 กก.ถั่วเขียว 200 กก. หมู10 กก.ใช้ใบตอง 350 กก.ดอกไม้จีน 20 กก. ซึ่งปรุงแล้วจะมีน้ำหนัก 2 ตัน


ส่วนบั๊นหย่าย มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 ม. หนา 0.70 ม. ปรุงแล้วหนัก 1 ตัน ในโอกาสนี้ทางสวนยังจัดทำหมูยอหรือที่บ้านเราเรียกแหนมเนืองญวน(Chả lụa=จ๋า หลั่ว) เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 ซม.ยาว 1 ม. หนักกว่า 30 กก. โดยปีนี้ทาง Dam Sen ได้จัดงานเป็นปีที่สองแล้วนับจากปี 2005

ทีมาของขนมทั้งสองนี้เป็นเรื่องที่เล่าขานตามตำนาน เท่าที่ผมจำได้ เป็นตอนที่กษัตริย์พระองค์นี้ชนะศึกประกาศอิสระภาพประเทศ ซึ่งตอนนั้นสงครามได้สร้างความแร้นแค้นไปทั่ว ก็มีชาวบ้านได้ทำขนมถวายมอบให้พระองค์เสวย พระองค์ทรงนิยมชมชอบขนมนี้มาก จึงทรงตั้งให้ขนมดังกล่าวเป็นขนมแห่งการเฉลิมฉลอง และขนมดังกล่าวก็ได้สืบทอดประเพณีจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น ชาวเวียตนามโดยเฉพาะช่วงตรุษ จึงนิยมทำขนมดังกล่าวเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่ เท่าที่ชิมดู ถ้าจะให้อร่อยต้องทานร่วมกับผักกิมจิเวียตนาม เพราะรสชาดจะได้ไม่จืด ขนมนี้ค่อนข้างให้พลังงานสูง(หมับ=อ้วน) เก็บได้นานนับเดือน(ใส่เกลือ และผงชูรส) โดยไม่ต้องเข้าตู้เย็น เพื่อนๆสนใจก็นำไปทำเองก็ได้ครับ ส่วนผักกิมจิเขาจะหมักใส่ขวดโหลมีผักกาด เศษผัก แคร็อท หั่นชิ้นพอคำล้างสะอาด ตากแดด พอแห้งใส่ขวดโหลซึ่งมีน้ำปลา เกลือ น้ำตาล ผงชูรส น้ำส้มสายชู สัดส่วนเค็ม หวาน เปรี้ยว มาคลุกเคล้ากับผักตากแห้งพอขลุกขลิกเท่านั้นหมักไว้เจ็ดวัน นำมาทานร่วมกับขนมอร่อยมาก ไม่เลี่ยน