หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)

Friday, August 17, 2007

VietKieu(Yuan) in Thailand Part I


ประวัติชนชาวญวน / เวียตนาม / อานัม / แกว ในประเทศไทย

ชาวญวน หรือ ที่ชาวอีสานเรียกว่า "แกว"ชนชาติหนึ่งอยู่ทางทิศใต้ของประเทศจีน และทางทิศตะวันออกของประเทศลาวและ เขมรคนกลุ่มนี้ มีอุปนิสัยขยันขัน แข็งในการทำมาหากิน จนมีฐานะความเป็นอยู่ที่มั่นคงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งในอดีตได้มีการติดต่อค้าขายกับ ชาวลาวในประเทศลาว และภาคอี สานมานานแล้วและหลังสงคราม โลกครั้งที่สอง เมืองญวนดิ้นรนที่จะเป็นอิสระจากฝรั่งเศส ญวนในภาคเหนือบริเวณเมืองเดียนเบียนฟูได้หนีภัย การเมืองเข้ามาอยู่ในภาคอีสานจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเข้ามาอยู่ในจังหวัดนครพนม สกลนคร เลย อุบลราชธานี หนองคาย สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ระหว่าง พ.ศ. 2489-2492 พวกนี้มักประกอบอาชีพค้าขาย และทำให้อาหารญวนบางชนิดเป็นที่นิยม เช่น ข้าวเฝอ เป็นต้น บ้านชาวญวนส่วนใหญ่จะตั้งอยู่บนบริเวณโคกดิน ลักษณะเหมือนเป็นเกาะเล็กๆ ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ยังคงพูดภาษาเวียดนาม ในการสื่อสารระหว่างกลุ่ม ซึ่งอาศัยอยู่ตามอำเภอใหญ่ๆ ของจังหวัดสกล นครนั้นได้อพยพมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นกลุ่ม 4 ระยะ คือ

(1) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในสมัยอยุธยา ธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ ในสมัยอยุธยา ปรากฎว่ามีหมู่บ้านญวนอยู่ในกรุงศรีอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช (2199-2231) จำนวนคนญวนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยในสมัยอยุธยา จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีประมาณ 5,๐๐๐-8,๐๐๐ คน โดยตั้งรกรากตามสถานที่ต่างๆ คือ อยุธยา จันทรบุรี พาหุรัด(ย้ายไปสามเสน) บางโพ จันทรบุรี สามเสน กาญจนบุรี โดยที่ชาวญวนที่นับถือคริสต์ศาสนาจะอาศัยอยู่ที่จังหวัดจันทรบุรี ส่วนพวกที่นับถือพุทธศาสนาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่กาญจนบุรี
(2) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งฝรั่งเศสยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมด ชาวคนเวียดนามจำนวนมากจึงอพยพเข้ามาอยู่ประเทศลาว ประเทศเขมร และประ เทศไทย ในประเทศไทยชาวเวียดนามอพยพเข้ามาอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี นครพนม สกลนคร อุทัยธานี หนองคาย สุรินทร์ ศรีษะเกษ บุรีรัมย์ และปราจีนบุรี สำหรับชาวเวียดนามที่มาอาศัยอยู่ในจังหวัดสกลนคร นั้นส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร โดยสรุปได้เข้ามา 3 จุดดังนี้
2.1 ทางสะหวันนะเขต สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด มุกดาหาร อุบลราชธานี สกลนคร หนองคาย อุดรธานี นครพนม
2.2 ทางเวียงจันทร์ สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ที่ฝั่งไทยที่จังหวัดหนองคาย สกลนคร
2.3 ทางท่าแขก สปป.ลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่ฝั่งไทยที่จังหวัด นครพนม สกลนคร
(3) ชาวเวียดนามที่อพยพเข้ามาอยู่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นการสู้รบระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์ ชาวเวียดนามจึงอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 48,๐๐๐ คน ซึ่ง ขจัด บุรุษพิพัฒน์ (2521) กล่าวว่า ภายหลังจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ามาบริหารประเทศ ในปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลได้มีมาตรการควบคุมชาวเวียดนามอพยพ อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ 15 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์ เลย อุบลราชธานี หนองคาย นครพนม บุรีรัมย์ อุดรธานี ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด สกลนคร ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ซึ่งชาวเวียดนามอพยพจะอาศัยอยู่นอกเขต 15 จังหวัดนี้ไม่ได้
พ.ศ. 2493 ให้ชาวเวียดนามอพยพมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ 8 จังหวัด โดยบังคับให้เดินทางไปยังจังหวัดควบคุมใหม่ ภายใน 1 เดือน คือ หนองคาย สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี ศรีสะเกษ ขอนแก่น อุดรธานี พ.ศ.2496 รัฐบาลไทยได้จัดส่งหัวหน้าชาวเวียดมนามในจังหวัดหนองคาย สกลนคร และนครพนม ไปไว้ที่จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. 2503 อนุญาตให้ชาวเวียดนามอพยพอาศัยอยู่ได้ในพื้นที่กำหนดเขต 8 จังหวัด คือหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม อุบลราชธานี ปราจีนบุรี สุราษฎร์ธานี พัทลุง
(4) ชาวเวียดนามอพยพที่เข้ามาอยู่ในช่วงสงคราม เวียดนามเหนือ-ใต้ เป็นกลุ่มชาวเวียดนามอพยพ ประมาณ 2,๐๐๐-3,๐๐๐ คน ส่วนใหญ่จะไปอาศัยอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ถิ่นที่อยู่เดิมชาวญวนอพยพ ที่เดินทางมาที่ประเทศไทยนั้นส่วนใหญ่จะมาจากเวียดนามตอนกลาง และข้ามแม่น้ำโขงมายังฝั่งไทย ทางสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คือ จังหวัดสะหวันนะเขต จังหวัดเวียงจันทร์ และ ท่าแขก ชาวญวนอพยพจะอยู่กระจายกันในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามหัวเมือง ในปี พ.ศ.2503 ชาวเวียดนามอพยพที่เดินทางเข้ามาที่ จ.สกลนคร นั้น มีชาวเวียดนามบางส่วน ได้กลับประเทศเวียดนามแล้วแต่ยังคงเหลือตกค้างอยู่ เนื่องจากเกิดสงครามเวียดนามเหนือเวียดนามใต้ โดยในขั้นต้นชาวเวียดนามอพยพอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของศูนย์ประสานงาน กอ.รมน. และสำนักงานกิจการญวนอพยพ กำหนดให้ชาวเวียดนามอพยพเหล่านี้อยู่ในเขตควบคุม 8 จังหวัด คนเวียดนามได้รับการดูแล การจัดทำทะเบียนประวัติ การศึกษา การปลูกฝังให้มีความรู้ความเป็นคนไทย สามารถผสมผสานกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทยจนในที่สุดก็มีชาวเวียดนามจำนวนมากได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลไทยให้ได้สัญชาติไทย โดยเรียกว่า “คนไทยเชื้อสายเวียดนาม” อยู่อาศัยมานานจนได้รับเชื้อชาติไทย ปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ป ระกอบอาชีพข้าราชการ นักธุรกิจ นักการเมืองท้องถิ่น มีบทบาทต่อการปกครอง และเศรษฐกิจของจังหวัด ในปี พ.ศ. 2545 คนเวียดนาม อพยพที่ได้รับสัญชาติไทยแล้ว ที่อาศัยอยู่ในเมืองสกลนคร ทั้งสิ้น 1,851 คน จากการที่ชาวไทยเชื้อสายเวียดนามได้อาศัยอยู่อย่างกลมกลืนกับชาวไทยในจังหวัดสกลนคร และ จังหวัดใกล้เคียง มานาน 6๐ ปี แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งทางด้านภาษา สังคม วัฒนธรรม
ที่มาhttp://www.surinmajestic.net

Sunday, August 12, 2007

Vietnamese Martial Art Part II

ตัวอย่างรูปแบบการต่อสู้แบบ Vovinam พอให้เห็นภาพคร่าวๆของ หว๋อ ด่าว Play/Stop MV Please Right Click Loop Then Play/Stop Below

Saturday, August 11, 2007

Vietnamese Martial Art Part I

ตอนที่อยู่โฮจิมินห์ ตอนช่วงเย็นผมชอบขับรถชมเมือง ช่วงตอนเย็นประมาณหกโมง ผมผ่านวัดแถวถนน Xo Viet Nghe Tinh จะไป วงเวียนห่างซัน ได้ยินเสียงการฝึกซ้อมหมัดมวยทุกคนสวมชุดสีหมากแก่ รำกระบี่ กระบอง ผมเคยเห็นเขาเรียนศิลปการต่อสู้อย่างนี้มาครั้งหนึ่งตอนขับรถผ่านไปเที่ยวแถววัดแห่งหนึ่งในเขตบินห์ยืงไม่ไกลจากที่ทำงานนิคมVSIP ผมยืนดูเขาประลองกำลังกัน ดูแล้วสนุกดี แต่ก็ไม่ทราบว่าเขาเล่นอะไรกัน

Việt Võ Đạo เหวียด หว๋อ ด่าว เป็นศิลปการต่อสู้ชาวเวียตนาม โดยมากเราจะรู้จักกันในชื่อของ วูซู กันซะมากมากกว่า ตามความหมายแล้ว Việt=ชาวเวียตVõ=ศิลปการต่อสู้ หรือ มวยĐạo=กระบวนยุทธ หรือ Do(ซู)ในระหว่างและหลังสงครามเวียตนาม ศิลปการต่อสู้ซึ่งผมขอเรียกว่า หว๋อ ด่าว ได้แพร่หลายไปทั่วโลกตามชุมชนที่ชาวเวียตนามอาศัยอยู่ จนได้ก่อตั้งเป็น สมาพันธ์เหวียด หว๋อ ด่าว ขึ้นในเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 1973 อันประกอบไปด้วยสมาคม


-Vovinam มีสำนักในประเทศเยอรมัน
-Qwan Ki Do-Bach Hac
-Thang Long
-อื่นๆ

ศิลปการต่อสู้นี้ได้พัฒนาเสริมส่วนปรัชญาการดำรงชีวิตโดยใช้ชื่อเรียกว่า Nhan Võ Đạo (ยัน หว๋อ ด่าว) โดยศิลปการต่อสู้นี้ได้มีการประยุกต์เพื่อให้เหมาะกับสรีระของชาวยุโรป ปลายปี 1980 โดยปรมาจารย์ จู ตัน เกิ่ง(Chu Tan-Cuong) ที่เมืองHalle ประเทศเยอรมัน โดยตัวท่านเองได้รับการถ่ายทอดวิชาตั้งแต่เด็กจากปรมาจารย์ เหวียน ตี้(Nguyen Ty) เจ้าสำนักเส้าหลินใต้(Shaolin Nam Hong Son) นับถึงปัจจุบันท่านเป็นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่งเชี่ยวชาญทุกแขนงติดอันดับโลก จะว่าไปแล้วหว๋อด่าวก็เป็น มวยจีนตอนใต้ อย่างที่เราดูในหนังจีนต่อสู้แบบโบราณที่บ้านเรา

ระดับของผู้ฝึก หว๋อ ด่าว มี 6 ระดับ และมีระดับเอกมากกว่าหนึ่งระดับ ผู้ฝึกจะฝึกต่อสู้ด้วยมือเปล่า ฝึกการต่อสู้ด้วยพลองหรือหอก และ ดาบ ระดับสูงจะได้ฝึกหมัดมวย ดังนั้นภาพรวมของมวย จึงเป็นลักษณะของการป้องกันตนเอง หมัดมวย ฝึกลมปราณ รับแล้วรุกจากการโจมตี ส่วนการเตรียมตัวเพื่อไปสู่ระดับเอกหรือมาสเตอร์นั้น จะต้องผ่านการทดสอบปฎิภาณและไหวพริบ

สัญลักษณ์ที่ใช้เป็นสัญลักษณ์หยินหยาง(Âm-dương) ไม่แข็ง ไม่อ่อน อย่างต้นไผ่ รวมกันภายใต้สัญลักษณ์แปดเหลี่ยม ชาวเวียตนามให้ความสำคัญกับต้นไผ่มาก เพราะวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องเป็นทั้งอาหาร เครื่องใช้ ที่อยู่อาศัยรวมทั้งปรัญชาชีวิต

Friday, July 13, 2007

Retail Shop

ตอนเราทำงานอยู่ที่นิคม VSIP บิงยืงห์ ผมและพี่พัฒน์ผู้จัดการ เราพักที่โรงแรมเฟืองนำ เราค่อนข้างเที่ยวกันไม่บ่อย ดังนั้น หลังเลิกงานประมาณช่วงสามสี่ทุ่ม บางครั้งก็เที่ยงคืน พวกเราชอบหาอะไรทานกันระหว่างทางอย่าง ก๋วยเตี๋ยวญวน อาทิเช่น เฝ๋อ, หู ติ้ว ส่วน ต้มยำที่ใส่เส้นขนมจีน เขาจะเรียกว่า บุ้น ริว อย่างที่ใส่เนื้อปู จะเรียกว่า บุ้น ริว กัว ส่วนมาก ขายกันตอนเช้า เท่านั้น เพราะ ช่วงเช้านั้น เส้นขนมจีนกำลังทำมาใหม่ๆ รสชาดอร่อย ส่วนผสมก็มีสองส่วนคือเส้นขนมจีนกับน้ำซุปอันประกอบไปด้วย หมูยอ เต้าหู้ทอด เลือดก้อน มะเขือเทศ เนื้อปู ใส่กินกับผักสดอย่างถั่วงอก ใบยี่หร่า ผักบุ้งฝานฝอยฝอย ผักอื่นๆและต้องใส่กับน้ำกะปิลงไปด้วย บางคนชอบเผ็ดก็ใส่น้ำส้มลงไป และพริกน้ำมัน เพิ่มความเป็นไทยของผมเอง ฮ่า... เท่าที่สังเกต บางคนจะจิ้มเต้าหู้กับน้ำกะปิ ถ้าทานกับข้าวคนเวียตนามจะมีมะเขือดองเปรี้ยวจิ้มทานกับน้ำกะปิ ส่วนบางที่อย่างทานกับ หู ติ้ว(เส้นแป้งมันกับข้าวเจ้า)จะใส่กระเทียมโทนดอง พริกซอย ซอสพริก ซอสมะเขือเทศ ซอสถั่วเหลืองดำ ตะไคร้ซอยคลุกพริกน้ำมัน สุดแต่จะปรุงแต่ที่น่าสังเกตคือซุปจะมีการใส่ผักชีลาวซอยลงไป ผักก็สาระพัดอย่างจำไม่ค่อยได้แล้ว

เล่ามานานไม่ถึงเรื่องร้านขายปลีกซะแล้ว เอาเป็นว่าเดิมเราขอให้เพื่อนชื่อฟี ช่วยซื้อของที่ร้านโชว์ห่วยใกล้โรงแรมเพราะเราพูดภาษาเวียตนามไม่ได้ ซึ่งบางครั้งเขารีบกลับบ้าน ทำให้ผมต้องไปซื้อกันเอง เอาล่ะ มาถึงตอนนี้ ผมต้องมั่วภาษาเวียตนามงูงูปลาปลา ต้องคิดราคาแปลงกลับไปมา ตอนนั้นค่าเงิน 400ด่องก็ 1 บาท(ตอนนี้ค่าเงินเราแข็งคงสูงกว่า)คิดในใจว่า 4000=10 บาท 10.000=25บาท ต้องคิดให้ไวตัดศูนย์สามตัวหลังทิ้งจะคิดได้ไวขึ้น คนขายถามเราว่า เหง่ย นึก หน่าว...เราก็ตอบไปว่า เหง่ย ไท้ แลน...แต่เขาก็ฟังไปว่า เหง่ย ไท้ ลอง(คนไต้หวัน)ซึ่งเราก็ตอบว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อสามสี่ปีก่อน คนไทยไปที่นั่นน้อยมาก จึงยากที่เขาจะทราบ ร้านพวกนี้เราเรียกว่า หย่า ซิว ถิ ...ผิดกับร้านขายข้าว จะเรียกว่า เตี่ยม อัง... เจ้าของร้านขายของก็ดีครับ เท่าที่ขายเราราคาก็พอพอกับบ้านเรา(จะว่าไป ควรจะถูกกว่านะ แสดงว่าแพง ต้นทุนถูกแต่แพงภาษี) เมื่อเทียบราคาตามห้างซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองอย่างCoopMart ก็ใกล้เคียง เขาช่วยจดราคาสินค้าให้เราเพื่อแสดงความจริงใจ เพราะเราสามารถตรวจกับราคาที่อื่นได้ เราก็รู้สึดดีไม่น้อยและประทับใจ ก่อนเรากลับบ้านก็ได้แวะซื้อบุหรี่ยี่ห้อBatos(เบส ต๊อด)สไตล์ฝรั่งเศส ราคากรรมกร ราคากล่องละ 25.000 ด่อง(63บาท ซองละ7บาท) ผมเคยซื้อไปฝากพี่ชายหนึ่งครั้ง


ร้านที่เราซื้ออยู่ถัดจากโรงงานNumber One โรงงานเป็นรูปขวด ติดกับด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ซึ่งเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของผมทีเดียว รองจาก ก่าเฟเสือด๊า(กาแฟยกล้อ) สีสันเหลืองรสชาดอย่างเครื่องดื่มกระทิงแดงบ้านเรา เดิมนั้นผมก็เข้าใจผิดมาครั้งหนึ่งตอนมาถึงเวียตนาม เพราะคนที่มานั่งร้านก่าเฟ(ขายเครื่องดื่ม นั่งดูหนัง ฟังเพลง) ดื่มเครื่องดื่มสีเหลืองจนคิดว่าดื่มเบียร์แต่กลับว่าไม่ใช่ กลับกลายเป็นชา หรือเจ้าเครื่องดื่มNumber One แทน ฮ่า...ของที่เราซื้อก็ส่วนมากจะเป็นนมเปรี้ยว(เสือ จัว) ขนมปังKinh Do(กิน โด้) เครื่องดื่มนึก หง๊อด(น้ำหวาน) อย่างเป๊บซี่ ส่วนโค้กไม่ค่อยเห็น และเครื่องดื่ม นึกเอี๊ยง(รังนกน้ำเชื่อม) ซึ่งดื่มชื่นใจแก้แฮ้งค์ได้ดี เครื่องดื่มNumberOne น้ำหวานเชื่อมว่านหางจระเข้ น้ำเก๊กฮวยกระป๋อง น้ำดื่มซาสี่(กลิ่นคล้ายยาประจำเดือนเบนโล) สุดท้ายก็เป็นน้ำส้มคั้นกระป๋อง(นึก กาม แอ๊ป)ผมชอบยี่ห้อTwister เป็นน้ำส้มคั้นมีกาก ช่วงที่มาทำงานเมื่อปีที่แล้วเครื่องดื่มจันไย(น้ำส้มกะทกรก) อันนี้รสชาดดีเช่นกัน ยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ประเทศเขาเยอะมาก ที่เราตุนเครื่องดื่มไว้เพราะราคาเครื่องดื่มของโรงแรมชาร์ทเราแพงสองเท่าจากข้างนอก แต่ถึงอย่างไรเจ้าของก็ใจดีเขาชื่อคุณThong(ทอม) อำนวยความสะดวก ช่วยเราไล่ผู้หญิง(หากิน)และตามคนที่ขโมยตังค์ผมด้วย ขอบคุณมากครับ