หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)

Wednesday, October 24, 2007

หลายสะพานที่ไซง่อน

ในไซง่อนมีหลากหลายเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสะพานในโฮจิมินห์ทั้งระบบและมากไปกว่าอย่างประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจ

โฮจิมินห์คงจะเป็นเหมือนอย่างในหลายหลายประเทศ ที่ตั้งอยู่ราบลุ่มแม่น้ำ เมืองที่มีเครือข่ายสายน้ำที่มารวมกัน จึงเป็นสาเหตุของการที่ต้องมีสะพานสำหรับการเดินทาง

ตามสถิติแล้วในไซง่อนมีอยู่มากมายหลายสะพานด้วยกัน จำนวนเท่าไรก็แล้วแต่แหล่งข้อมูล แต่เป็นที่เข้าใจว่าได้มีการสร้างขึ้นมาเรื่อยๆ แต่กล่าวกันว่ามีมากกว่า 350 สะพาน หลากหลายช่วงความยาว รวมแล้วโดยเฉลี่ยแล้วยาวกว่า 17 กม.

สะพานส่วนมากถูกสร้างก่อนปี 1975 ซึ่งตอนนั้นเวียตนามยังไม่แยกเหนือใต้ โดยส่วนมากเป็นสะพานขนาดใหญ่ อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมของชาวไซง่อนที่ดี ในขณะนั้นอันเป็นเวลากว่าทศวรรษ

สะพาน Cu Mong เป็นสะพานที่ล้ำสมัยแห่งแรกของเมือง ได้รับการออกแบบอย่างอย่างเหมาะสมมีระบบรูปแบบ ใช้ระยะเวลาก่อสร้างสองปี 1893-1894 เชื่อมเขตหนึ่งและเขตสี่ ข้ามตลิ่งBen Nghe ด้วยความยาวกว่า 128 เมตร กว้าง 5.2 ม.ตัวสะพานโค้ง Mongเป็นคำที่ชาวบ้านเรียกว่าสายรุ้ง ด้วยตัวสะพานเองมีเอกลักษณ์ตรงที่ไม่มีตอม่อ ทราบภายหลังว่าเป็นช่างชาวฝรั่งเศสในเมืองไซง่อนชุดเดียวกันกับที่ก่อสร้างหอEiffel เมื่อปีที่ผ่านมาไม่นานมานี่เอง ได้มีการสร้างอุโมงค์ขนส่งThu Thiem ลอดใต้แม่น้ำไซง่อน ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้สะพานนี้อีกต่อไป เมื่ออุโมงค์นี้แล้วเสร็จ

แต่ยังมีนักประวัติศาสตร์บางกลุ่มกล่าวว่า สะพานCu Son ถูกยกว่าเป็นสะพานที่เก่าแก่กว่าของเมือง ถูกสร้างเมื่อปลายศตวรรษที่19 ในที่ที่ได้มีการปลูกต้นยางจึงเป็นที่มาของชื่อสะพาน สะพานนี้ยาว 19 ม.กว้าง11 ม. ปัจจุบันอยู่บนเส้นทางถนน Xo Viet Nhge Tinh เชื่อมชุมชน25 และ 26 เขตBinh Thanh

ก่อนที่เวียตนามจะรวมชาติกัน สะพาน Binh Loi เป็นสะพานอาถรรพ์ สำหรับคนที่สิ้นหวังในชีวิตมักจะมา กระโดดน้ำฆ่าตัวตายในแม่น้ำไซง่อน ตามประวัติแล้วมีความสำคัญตรงที่เป็นสะพานเดินเรือเข้าออกเมืองเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1902 โดยข้าหลวงฝรั่งเศส ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาสะพานจะมีอดีตที่ไม่ดี แต่ปัจจุบันมันยังคงเป็นเสมือนประตูสู่เมืองโฮจิมินห์ โดยเป็นสะพานรับการเดินทางสำหรับทางรถไฟ

สะพานอีกแห่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือสะพาน Cu Chu Y มีรูปร่างเหมือนตัว Y ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1938-1942 เชื่อมระหว่างสี่ตลิ่งอันได้แก่ Ben Nghe,Tau Hu,Kenh Doiและ Kenh Te เชื่อมเขตห้า เขตแปด และบางส่วนในเขตเจ็ด ว่ากันว่าเป็นสะพานขนส่งทางเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างเขตห้าที่ร่ำรวย(เจอะเลิ้น=ไชน่าทาวน์) และเขตแปดที่ยากจนเข้าหากัน

ส่วน สะพานBinh Trieu IและII เป็นเส้นทางออกไปยังตอนเหนือ ส่วนสะพานTan Thuan IและII เป็นเส้นทางไปทางตอนใต้ ส่วนสะพาน Binh Dien IและIIเป็นเส้นทางไปทางออกไปทางตะวันตก ทุกสะพานที่กล่าวถึงนั้น มีบางสิ่งที่เหมือนกันคือถูกสร้างขึ้นเป็นสะพานคู่โดยสะพานคู่ที่สร้างนั้นได้ถูกสร้างภายหลังการรวมชาติ
อย่างไรก็ตามถ้านับความยาวและมีชื่อเสียงของเมืองคงไม่พ้นสะพานไซง่อน ที่เชื่อมถนนDien Bien Phu เขตBinh Thanh ออกถนนหลวงฮานอยเขตสอง ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยบริษัท Johnson-Drake and Pipe จากสหรัฐ เมื่อพฤศจิกายน ปี 1958-มิถุนายน 1961มี 22 ช่วงรวมแล้วยาวกว่า 1,010 ม.ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้มา มันยังคงเป็นประตูสำคัญในการเข้าสู่เมือง

ในปี 1998 สะพานไซง่อนได้รับการปรับปรุงด้วยวงเงินสนับสนุนงบประมาณจากฝรั่งเศส ว่าจ้างบริษัทฝรั่งเศสPreyssinet ที่เคยสร้างสะพาน Chu Y ทำการขยายความกว้างสะพานจาก 19.63 ม. เป็น 24 ม.
สะพานใหญ่ต่อไปในไซง่อนคงจะไม่พ้นสะพาน Thu Thiem ที่เชื่อมต่อเขตเมืองตอนในกับเขตชานเมืองเศรษฐกิจใหม่Thu Thiem เขตสอง ด้วยความยาวสะพานที่ยาวกว่าสะพานไซง่อนถึง 1,250 ม. ห้าช่วงช่วงละ370 ม. กว้าง 28 ม.

สะพาน Thu Thiem นี้คาดว่าจะเปิดตัวปลายปีนี้ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หลังจากความล่าช้าจากหลายสาเหตุ คงทำให้สะพานแห่งนี้ ช่วยยกระดับศักยภาพของริมฝั่งริมตลิ่งของแม่น้ำไซง่อนต่อไป

Saturday, October 20, 2007

ชื่อสะพานที่มาของวีรกรรม

สะพานNguyen Van Troiหรือสะพาน Cong Lyเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งบนเส้นทางจากสนามบินTan Son Nhat ก่อนเข้าสู่ตัวเมืองโฮจิมินห์ นับจากลงเครื่องเราสามารถนั่งรถแท๊กซี่ เราต้องผ่านถนนTruong Son ถนนNguyen Van Troi ถนนNam Ky Khoi Nghiaก่อนเข้าสู่ถนนLe Loi อันเป็นใจกลางเมืองไซง่อน
ถ้าเราวิ่งบนถนนNguyen Van Troi ผ่านเขตPhu Nhuan สังเกตว่าจะต้องผ่านสะพานแห่งหนึ่งก่อนที่จะถึงถนนNam Ky Khoi Nghiagในเขตสาม และมั่นใจได้เลยว่าสะพานแห่งนี้เป็นสะพานแรกที่คุณต้องผ่านนับแต่คุณมาเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ สะพานนี้มีชื่อว่าสะพาน Nguyen Van Troi แต่ชาวเมืองไซง่อนจะเรียกว่าสะพานCong Ly มีความยาวเพียงแค่ 100 เมตรเชื่อมระหว่างสองตลิ่งคือ Nhieu Loc-Thi Nghe Arroyo(ช่องแคบของคลอง-คำฝรั่งเศสผสมสเปน) สะพานได้สร้างขึ้นไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา และเป็นสถานที่สำคัญก่อนเข้าเมืองโฮจิมินห์


เมื่อปี คศ 1960 สะพานCong Ly มีข่าวดังไปทั่วโลก เมื่อสำนักข่าวต่างประเทศได้เสนอข่าวเกี่ยวชายคนหนึ่ง ซึ่งภายหลังก่อให้เกิดชนวนสงครามการปฏิวัติเวียตนามใต้ขึ้น ในช่วงสงครามเวียตนาม เขาชื่อว่า Nguyen Van Troi(เหวียง วัง เจ่ย) ถูกจับกุมโดยกองกำลังรักษาความมั่นคงภายในรัฐบาลเวียตนามใต้ ข้อหาพยายามลอบสังหารนาย Robert Mcnamara เลขาฯความมั่นคงของสหรัฐ โดยการวางระเบิดสะพานCong Ly เมื่อครั้งมาเยือนไซง่อน ต่อมานาย Troi ก็ถูกยิงเป้าประหารชีวิต 15 ตุลาคม 1964 โดยชื่อของเขายังคงเป็นที่จดจำ จนกระทั่งภายหลังการรวมประเทศ ในปี 1975 สะพาน Cong Ly จึงเปลี่ยนชื่อมาเป็นสะพาน Nguyen Van Troi เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานถึงวีรกรรมของเขา


เนื่องจากการจราจรที่คับคั่ง จนเมื่อปีที่ผ่านมาสะพานนี้ได้ถูกปิดเพื่อทำการปรับปรุง โดยการสร้างสะพานเสริมขึ้นมาสองสะพานเพื่อระบายการจราจรชั่วคราว แต่ก็ยังแคบเกินกว่าที่จะระบายการจราจร ซึ่งอาจจะไม่ค่อยประทับใจนักท่องเที่ยวที่มาโฮจิมินห์ในครั้งแรกกับเหตุการณ์อย่างนี้ แต่นี่คือเมืองโฮจิมินห์ แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นช่วงครบรอบวันประกาศอิสรภาพปีที่ 62 ส่วนหนึ่งของสะพานได้เปิดใช้ หลังจากการขยายถนนกว้างขึ้นทั้งเส้นNguyen Van Troi และ Nam Ky Khoi Nghia ทำให้การจราจรคล่องตัวขึ้น โดยสะพานจะเปิดใช้งานได้จริงต้นปีหน้า 2008 ถ้าหากสังเกตให้ดีช่วงผ่านสะพานด้านขวามือช่วงต่อเขตสามและเขตหนึ่ง จะมีวัดแห่งหนึ่งชื่อว่าVinh Nghiem ที่นี่ก็เป็นจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดเยี่ยมชมและรับฟังเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในไซง่อน


ที่มา:SaigonTimes(EN)

Saturday, September 8, 2007

Black Hole Part I

วันนี้กลับจากเดินทางไปเที่ยวชลบุรีกับแม่ น้องชายและน้องสะใภ้ ระหว่างทางได้แวะเที่ยวที่หาดบางแสน เรานั่งคุยกันดื่มเบียร์กันเล็กน้อย มีเรื่องนึงที่น้องชายถามเกี่ยวกับสาวๆบริการ ผมก็ไม่เชิงอยากจะเล่าให้ฟัง แต่ก็บอกเล่าไปตามที่ได้พบเห็นมา ซึ่งวิถีชีวิตพวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากสาวๆที่บริการในบ้านเรา มีความจำเป็น เรื่องเงินเรื่องทองไม่ต่างจากบ้านเรา มีคำพูดที่เปรียบเทียบกับสาวๆเหล่านี้ว่า ก่า ม้ำ ด๋อ หรือ ไก่เล็บแดง เป็นผู้หญิงกลางคืนก็ว่าได้ อย่างปี พ.ศ. 2546 ตอนนั้นกระแสสายเดี่ยวการทำผมไฮไล้ท์ทำผมสีสรรต่างๆ ซึ่งวิถีรูปแบบนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ จะมีเฉพาะผู้หญิงกลางคืนเท่านั้นที่ทำกัน และที่สำคัญ สาวๆเหล่านี้มีเงินดอลล่าร์ตุงกระเป๋า ขับรถมอเตอร์ไซต์ฮอนด้าอย่างสมัยนั้นก็รุ่นเอชฮัก(SH) รุ่นอาร์ม๊อบ(@) คันเป็นแสนแสนบาท มือถือโนเกียรุ่นท๊อปฮิต แต่งหน้าตาสีฉูดฉาด แต่ตอนนี้ก็เป็นเรื่องปกติเพราะกระแสถึงกันแล้ว ตอนนั้น เพื่อนที่ทำงานมักล้อเล่นกันเรื่องไปดื่มกาแฟตอนดึก หรือกาแฟอม(โอม=กอด) ตอนนั้นผมได้เคยไปใช้บริการครั้งหนึ่ง ตอนไปเที่ยวที่ เขตมุ่ยแน๊ จ.ฟานทิ๊ก เป็นเขตท่องเที่ยวชายทะเลแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อ ผมและกลุ่มคนไทยเราไปดื่มกันพอสมควร คนขับรถเวียตพาเราไปเที่ยวร้านกาแฟอม อันดับแรกก็ไปนั่งรอห้องรวม สั่งเครื่องดื่มนัมเบอร์วัน(กลิ่นสีคล้ายเครื่องดื่มกระทิงแดง) เครื่องดื่มน้ำอัดลม เลือกสาวๆมานั่งกอดรัดฟัดเหวี่ยงตามสะดวก แล้วแต่ฝีมือ คนคุยเวียตนามได้อย่างผมก็พอได้เปรียบเล็กน้อย บรรยากาศภายในห้องไม่ค่อยจะเป็นใจเพราะเก้าอี้ม้านั่งก็ไม่ค่อยดี ฝาผนังก็ไม้กระดานบางๆ ไฟก็หลอดไส้สีแดง สักพักยังไม่ทันไร สาวๆก็เดินเข้าออก วิ่งรอกไปห้องโน้นห้องนี้ เพื่อเอาทิปกับโต๊ะอื่น เราเองก็งงกับการบริการที่นี่ สุดท้ายก็มีคนออกมาบอกให้เราออกมา ว่าตำรวจกำลังมาตรวจ เป็นอันว่าจบกัน

เคยถามสาวๆพวกนี้เหมือนกันส่วนมาก มักจะคิดว่าคนต่างชาติเป็นเอดส์(=สีดา) เพราะตอนนั้นเป็นกันเยอะมาก อาจเป็นที่การศึกษาและอายที่จะใช้ถุงยางป้องกัน การกอดจูบลูบคลำก็เป็นการคลายเครียดกันสำหรับคนหนุ่มสาวที่นั่นอย่างถ้าจะเลยเถิดไปกว่านั้นก็แล้วแต่ จะเข้าโรงแรมก็ตังค์มีน้อยอาศัยสวนสาธารณะจอดมอไซต์จู๋จี๋กันจะประหยัดกว่า ผมจึงไม่แปลกใจที่เห็นบรรยากาศอย่างนี้เป็นเรื่องปกติของคนที่นั่นเมื่อตอนนั้น มีคนเคยบอกว่ามีอาชีพที่นิยมสำหรับคนที่ไม่ได้เรียนจบอะไรมาก็คือถ้าไม่เปิดร้านกาแฟ ก็ร้านเสริมสวย สาวกลางคืนหลายคนฝันที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจแบบนี้เฝ้าเก็บเงินยามอายุมากอย่าง 23 ปีขึ้นไป ก็ถือว่าแก่แล้วขายออกยาก (เพราะส่วนมากเริ่มมาทำธุรกิจกลางคืนก็เริ่มอายุ16ปีขึ้นไป) อายุมากก็หันมาทำงานส่วนตัว แต่ก็มีน้อยรายที่ประสบความสำเร็จ เพราะส่วนมากจะขาดความรู้ความอดทนสู้ทำงานกลางคืนที่หาเงินง่ายกว่า และหาทางออกโดยการแต่งงานกับคนต่างชาติ โดยจะชวนฝ่ายชายไปเที่ยวที่บ้านนอกพบพ่อแม่ นี่เป็นวงจรที่ได้พบเห็นมา ร้านกาแฟก็มีบ้างที่แอบแฝงประกอบการค้าประเวณี อย่างกาแฟอม ก็เช่นกัน บางที่ก็หนักกว่าเรียกว่า กาแฟ เตร็น เหยิ่ง(=กาแฟบนเตียง) อันนี้ไม่ได้ดื่มกาแฟแล้วกอดอย่างเดียว แต่ได้ร่วมนอนด้วย ตอนนั้นผมได้อ่านพบในหนังสือพิมพ์ที่นั่น ก็เลยสอบถามเพื่อนเวียตดู เขาบอกว่าส่วนมากจะมีแถวต่างจังหวัด รอบนอกเมือง ทางการก็กวดขันจับกุมเพราะผิดกฎหมาย หรืออาจจะไม่จ่ายให้ถูกกฎมากกว่า ถ้าจ่ายก็ไม่มีปัญหา อย่างโรงแรมไม่ว่าจะพาเพื่อนชายหรือหญิงถ้าเป็นคนต่างชาติ ก็ต้องแยกห้อง เราต้องจองสองห้องไม่งั้นทางโรงแรมไม่ยอมให้พัก เพราะเขาต้องหนีบเอาบัตรประชาชนของสาวกับเราแยกกันและยังมีขั้นตอนยุ่งยากอีก เอาไว้เล่าต่อคราวหน้านะครับ

Sunday, September 2, 2007

Farmer Revolution

บันทึกจากท้องถิ่น
เห็นเวียดนามผ่านกบฏชาวนา กวางจุง [QUANG TRUNG]วีรบุรุษผู้รวมชาติ
โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ
การเห็นประวัติศาสตร์จากภายในกลายเป็นเรื่องสําคัญของการศึกษาสังคมข้ามวัฒนธรรมหรือสังคมอื่นอย่างจําเป็นของเวียดนามสําหรับคนไทย การรับรู้ทางประวัติศาสตร์ย่อมหนีไม่พ้นเรื่องกบฏไตเซินซึ่งเป็นเหตุให้องเชียงสือพร้อมครัวญวนต้องหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ที่กรุงเทพฯ ระยะหนึ่ง จนได้รับพระราชทานกองทัพไปตีเมืองไซง่อนครั้งหนึ่ง อยู่ได้กว่า 5 ปีก็ลอบกลับบ้านกลับเมืองไปโดยไม่บอกให้ใครรู้ เป็นเหตุให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทขุ่นเคืองและไม่ไว้ใจทัพญวนทางทะเล จนเป็นเหตุให้มีพระราชประสงค์ให้สร้างเมืองพระประแดงพร้อมป้อมขึ้นใหม่เพื่อเป็นเมืองด่านป้องกันศึกทางปากน้ำ องเชียงสือและกบฏไตเซินคือภาพของ ผู้ทรยศและกบฏ ในสายตาของคนไทยและประวัติศาสตร์ไทยแต่สําหรับชาวเวียดนาม ประวัติศาสตร์ที่ฝากร่องรอยและความทรงจําแห่งสงครามอย่างยาวนานและไม่ว่างเว้น กบฏไตเซิน คือวีรบุรุษสามัญชนผู้รวบรวมกองกําลังชาวนาเพื่อปลดแอกจากระบบภาษีที่เอาเปรียบรวมชาติเหนือและใต้ให้เป็นแผ่นดินเดียว ชาวเวียดนามเรียนรู้และซึมซับ ความรักชาติ [Patriotism] จากวีรกรรมของพี่น้องตระกูลเหวียนแห่งหมู่บ้านไตเซินในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญของประวัติศาสตร์เวียดนามยุคหนึ่ง และไม่เคยมีคําว่าผู้ทรยศสําหรับ องเชียงสือที่ต่อมาคือ จักรพรรดิญาลองปฐมกษัตริย์ผู้สร้างพระราชวังเมืองเว้และปกครองบ้านเมืองในฐานะ "เวียดนามประเทศ" ได้เป็นครั้งแรกแท้จริงแล้ว

สําหรับ กษัตริย์กวางจุง [QUANG TRUNG ] หรือ[Nguyen Hue] ( พ.ศ.2295-2335) ผู้เติบโตที่หมู่บ้านไตเซินในจังหวัดเหงียบินห์ ทางภาคกลางของเวียดนามเป็นพี่ชายคนที่สองของสามพี่น้องคือ เหวียน ธัค, เหวียน เว้ และเหวียน ลู ซึ่งเป็นหญิง [Nguyen Nhac, Nguyen Hue, and Nguyen Lu] ผู้นําในการปฏิวัติจากราชวงศ์เหวียนผู้ครอบครองแผ่นดินทางตอนใต้ของเวียดนาม ในปี พ.ศ.2328 ซึ่งเทียบได้กับช่วงเริ่มราชวงศ์จักรีที่กรุงเทพฯ พี่น้องไตเซินเข้ายึดเมืองหลวงไซง่อนและเริ่มการต่อต้านกลุ่มราชวงศ์ตรินห์ซึ่งครอบครองแผ่นดินทางเหนือเหวียน เว้ มีคําขวัญเพื่อต่อสู้คือ ฟื้นฟูราชวงศ์ลี้ ทําลายราชวงศ์ตรินห์ ภายหลังขึ้นครองราชย์ในชื่อ กวางจุง ตั้งเมืองหลวงที่เว้และส่งบรรณาการให้จีน ทําให้รัฐเป็นปึกแผ่น ปรับปรุงการทหาร ปฏิรูปที่ดิน และเปิดความสัมพันธ์ทางการค้ากับตะวันตก ฟื้นความรู้สึกรักชาติเป็นอิสระ วางแผนประเพณีราชสํานักแทนที่แบบจีนฮั่น แต่เขาตายอย่างกะทันหันในพ.ศ.2335 ขณะมีอายุเพียง 39 ปี ลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบจึงไม่สามารถรักษาบัลลังก์ไว้ได้รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจัดสร้าง พิพิธภัณฑ์กวางจุง ที่หมู่บ้านไตเซิน บ้านเกิดของพี่น้องตระกูลเหวียน พิพิธภัณฑ์สร้างในปี พ.ศ.2522 จัดแสดงร่องรอยของชีวิตและผลงานกษัตริย์กวางจุงเมื่อเกิดกระแสการลุกขึ้นสู้ของชาวนาที่ไตเซินและพื้นที่ใกล้เคียง วีรกรรมการสู้รบของเหวียน เว้และพี่น้อง รวมทั้งภาพจิตรกรรมชิ้นหนึ่งที่ถือว่าเป็นวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของสองประเทศคือสยามและเวียดนามเป็นภาพเรือพายอนันตนาคราชซึ่งเสมือนสัญลักษณ์ของกรุงสยาม ที่เรารับรู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ส่งทัพเรือไปช่วยรบ ถูกกองเรือท้องถิ่นตีแตกพ่ายทําลายในน่านน้ำทะเลเวียดนาม อันเป็นการบ่งถึงประวัติศาสตร์อีกมุมหนึ่งของผู้เฝ้ามองจากภายในซึ่งอาจจะผิดหรือถูกในข้อเท็จจริงก็ได้ แต่ที่สําคัญคือ ภาพเขียนเหล่านั้นได้ทําหน้าที่แสดงออกอย่างเงียบๆ ในการกระตุ้นความรักชาติให้ก่อเกิดแก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ชาวเวียดนามทั้งหลายและนอกจากนี้ พื้นที่บริเวณโดยรอบนอกจากอนุสาวรีย์กษัตริย์กวางจุงนําทัพซึ่งอยู่ด้านหน้าแล้ว ข้างๆ อาคารพิพิธภัณฑ์คือศาลเจ้าของตระกูลเหวียนและอนุสรณ์ที่รําลึกอื่นๆ เช่น ต้นมะขามอายุกว่าสามร้อยปี บ่อน้ำ สวนส้มของเหวียน เว้ เป็นต้น สิ่งเหล่านั้นไม้ต้องใช้การจัดแสดงแต่อย่างใด ความหมายที่แฝงเร้นอยู่ก็เพื่อให้เห็นชีวิตคนธรรมดาที่เรียบง่าย ไม่ต้องมีอภินิหารเหนือมนุษย์ เพราะนี่คือกษัตริย์ชาวบ้านที่แข็งแกร่งพอจะเป็นผูนําการปลดปล่อยชาวนาที่ทุกข์ยากซึ่งเป็นผู้คนพื้นฐานของประเทศและสามารถรวมชาติเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวการยึดครองเวียดนามจนกลายเป็น "อินโดจีนของฝรั่งเศส" ระหว่าง พ.ศ. 2401-2483 และการเข้ายึดครองโดยญี่ปุ่นระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกว่า 5 ปี เมื่อ พ.ศ. 2483-2488 จนกระทั่งเกิด "สงครามอินโดจีน" เพื่อต่อต้านการกลับเข้ามาของฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ.2488 - 2499 ทําให้เวียดนามต้องกลายเป็นบ้านเป็นเมืองที่มีสงครามยืดเยื้อยาวนานและไม่จบสิ้น การเอาชนะฝรั่งเศสที่เดียนเบียนฟูสําเร็จนําไปสู่การเจรจาสงบศึก จากสงครามนี้เวียดนามถูกแบ่งแยกออกเป็นเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ที่บริเวณเส้นขนานที่ 17 องศาเหนือ

ผู้นําสําคัญอีกท่านหนึ่งของเวียดนามคือ "โฮจิมินห์" เลือกที่จะใช้ระบบสังคมนิยมแก่เวียดนามเหนือหรือเวียดมินห์ ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่พยายามทําอย่างเดียวกับกษัตริย์กวางจุง นั่นคือการรวมเวียดนามและสิ่งที่ประสงค์ที่สุดคือ "เวียดนามต้องเป็นหนึ่งเดียว"ความพยายามรวมชาติของ "ลุงโฮ" ยังไม่เป็นผลสําเร็จ จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาขยายการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย สงครามเวียดนามจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หนักหนาและปวดร้าวเกินกว่ามนุษย์จะกระทําต่อมนุษย์ด้วยกันเมื่ออเมริกาแพ้สงครามถอนทัพกลับไป เวียดนามยังคงทําสงครามเพื่อต่อต้านการเข้ามาของเขมรแดงตามแนวชายแดนจึงมีการบุกเข้าไปในกัมพูชา จนถึงปัจจุบัน เวียดนามเริ่มฟื้นจากสงครามอันยาวนาน พยายามสร้างความปรองดองทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหลากหลายแก่ผู้คนมากกว่า 50 ชาติพันธุ์ และในที่สุดก็เริ่มรับระบบและค่านิยมบางอย่างจากตะวันตกอย่างช้าๆในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของเวียดนาม กษัตริย์กวางจุง ผู้นํากบฏไตเซินคือวีรบุรุษชาวนาผู้รวมประเทศเวียดนามได้ครั้งแรกอย่างแท้จริง ส่วนลุงโฮ หรือโฮจิมินห์ ผู้ที่ชาวเวียดนามทุกคนต้องมีรูปท่านประดับบ้านไว้เสมอคือผู้พยายามรวมชาติเวียดนามคนต่อมาจากประสบการณ์ของการถูกกดขี่และความแตกแยกภายในชาติโดยถูกรุกรานจากผู้อื่น สิ่งที่ชาวเวียดนามตระหนักก็คือวีรบุรุษย่อมคู่กับความรักชาติเสมอและวีรบุรุษของเวียดนามนั้นแสวงหา "อิสรภาพ เสรีภาพ และความสุข"หรือ Độc lập – Tự do – Hạnh phúc=ดอบ หลับ ตื่อ ยอ หั่น ฟุ๊ก อันเป็นอุดมคติอันสูงสุด เป็นคำขวัญของประเทศ และในหนังสือราชการ หัวบรรทัดแรกเขาจะใส่คำขวัญนี้ทุกครั้งเสมอ
ที่มา:http://www.lek-prapai.org