Dict Vietnam Onlines

Dict Vietnam Onlines
Google

See Vietnam

Loading...

หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Entertainment (4) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (11) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)

Thursday, May 17, 2007

Vietnam Road

เมื่อครั้งแรกที่ลงจากเครื่อง ผมสังเกตว่าที่นี่ใช้แตรกันสิ้นเปลืองมากมาก บีบแตรกันตลอดทาง จนผมต้องถามเพื่อนเวียตว่าเขาไม่โกรธกันรึอย่างไร ถ้าเป็นบ้านเราคงได้ยิงกันตายแน่ๆ หรือไม่ก็ด่ากันต่อยกัน ก็มี เพื่อนว่าเป็นเรื่องปกติเพราะถนนแคบรถมอเตอร์ไซค์เยอะทุกคนต้องบีบแตรเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ(แต่ผมว่าน่ารำคาญมากกว่า ฮ่า...) เพราะบางครั้งแค่มือจับรถเกี่ยวกัน รถล้มก็มีให้เห็นทั่วไป ระบบผังเมืองของเวียตนามถนนถี่เป็นตาหมากรุก บางจุดมีถนนหลายเส้นมาตัดกันเรียกว่า ngả(=หงา=ทางแยก) มีตั้งแต่ หงาบา(สามแยก) หงาตือ(สี่แยก) หงา-นำ(ห้าแยก) หงาเซ้า(หกแยก) ส่วนหงาไบ๋(เจ็ดแยก) ยังไม่เคยเจอ ทุกทุกหงาก็จะมีวงเวียนเอาไว้ขับจะวนซ้ายทวนเข็มนาฬิกาตรงกันข้ามกับบ้านเรา

ข้อดีของเจ้าวงเวียนก็คือไม่ต้องติดตั้งไฟแดง(đèn đỏ =แดง ด๋อ) ตรงวงเวียนก็จะมีรูปปั้นรูปแกะสลัก สัญลักษณ์ต่างๆ หอนาฬิกา(วงเวียนห่างเซิน) หน้าโรงพยาบาลก็งดบีบแตร ห้ามสามล้อ ห้ามกลับรถ...ป้ายห้ามต่างๆก็คล้ายๆบ้านเรา วินมอเตอร์ไซต์(=แซ โอม) ไม่ต้องใส่เสื้อวินเหมือนบ้านเรา พบได้ทั่วไปราคาแล้วแต่ต่อรองครับ เคยนั่งจากเขตสามไปแถวต.ไล้ทิว จ.บินห์ยืง เพียง 20.000 ด่อง(ห้าสิบบาท)เมื่อปี 2003 ตอนนี้คงไม่ได้แล้วหล่ะเพราะน้ำมันแพงขึ้น ถ้าเป็นในเมืองตามตลาดก็มี xích lo(ซิก โล=สามล้อ)ซึ่งผมเรียกว่าเป็นรถบรรทุกเวียตนามเพราะขนของได้เยอะมากชนิดรถกะบะต้องชิดซ้ายเลย แต่เพื่อนว่าพวกนี้ไม่ค่อยกลัวตำรวจขนของดูแล้วอันตรายซึ่งทำให้เกิดการชนอุบัติเหตุมาแล้วหลายครั้ง

ผมเคยไปที่ศูนย์ขนส่งในเมือง (Bến xe=เบ๊น แซ) ซึ่งก็มีหลายจุดด้วยกันขึ้นว่าเราจะเดินทางไปภาคไหน อย่างไปทางตะวันออกไปเที่ยว ด่าลัด เที่ยวหมุยแน๊ ฟานทิ๊ก อย่างคุณวิทไป ด่าหนัง ฮานอย(ไปฮานอยโดยรถไฟน่าจะประหยัดดีกว่า) ก็ไปที่ก็ต้องไปที่ศูนย์ขนส่งตะวันออก Bến xe miền đông (เบ๊นแซเหมี่ยงดอม) ไปเที่ยวตะวันตกอย่าง จ.หมีทอ เขตวินลอม(สะพานขึงหมีถวน สวยมาก) จ.กั่นเทอ แถวลุ่มน้ำโขง...ก็ไปขึ้นที่ Bến xe miền tây (เบ๊นแซเหมี่ยงไต) แต่ถ้าจะไปเขมรผ่านเขตฮุกโมน จ.ลองอัน ไปเที่ยวนครใต้ดินกู๋จี ที่เวียตกงเอาชนะอเมริกา ผ่านจ.ไตนินห์ ถึงMoc Bai(หมอก บ่าย) ก็ติดเขมรเลยโดยมากมีแต่พวกไปเล่นคาสิโน ก็ต้องไปที่ศูนย์An Soung(อัน เซิง) หรือจะนั่งยาวไปเขมรก็มีรถบัสและรถตู้บริการ นั่งจากตลาดBenh Thanh(เจอะ เบิ่น ถัน) หลักกิโลที่นั่นก็หน้าตาแปลกดี ส่วนบนทาสีแดงบอกว่าจุดที่เราอยู่ห่างจากฮานอยกี่กิโลเมตร จากรูปบอกแค่ระยะห่างจากเมืองสำคัญกับเมืองฮานอยเท่านั้น ห่างจากโฮจิมินห์ 179 กม. รวมระยะทางจากโฮจิมินห์ไปฮานอย 1900 กม. การบอกสถานที่ระยะทางไม่เหมือนบ้านเราที่บอกทุกอำเภอและจังหวัดเลย ป้ายบอกระยะทางก็มีน้อย หรือบอกแหล่งท่องเที่ยวสำคัญก็ไม่มี การเดินทางออกนอกเมืองต้องเสียค่าผ่านด่านเว้นมอเตอร์ไซต์ไม่ต้องจ่าย

Sunday, May 13, 2007

Drunk and Die

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเที่ยวและดื่ม(=ดี เหยา)ตอนอยู่เวียตนาม แต่ไม่ชอบขับขี่เวลาเมา(=สิน) วันนั้นผมไปส่งเพื่อนที่ทำงานเป็นผู้หญิงระหว่างทางก็เจอคนงาน(=กำ เยิน)ที่ร้านเล็กๆริมถนน เขาชวนผมดื่มเบียร์เป็นเบียร์สดหรือเบียร์เตย(tươi=เตย) หรือเบียร์เฮยก็ได้ ยอมรับว่าสีเหลืองเหมือนเบียร์ทั่วไป ชิมแล้วมันค่อนข้างจืดไม่ค่อยขม น้ำแข็ง(=นึก ด๊า)ก็ตัดเป็นแท่งใส่พอดีแก้ว นั่งนานหลายนาทีกว่าจะละลาย(ดีกว่าน้ำแข็งหลอดบ้านเราแป๊บเดียวละลาย คนขายมีแต่กำไร) เข้าใจว่าไม่ต้องใส่น้ำแข็งบ่อย เสิร์ฟแต่เบียร์อย่างเดียว แบ่งขายเป็นแกลลอนราคาคนงานซื้อก็ตกแกลลอนละยี่สิบบาทไทย แต่ก็ทำเอาผมมึนทีเดียว เพื่อนบอกว่าอย่าไปดื่มบ่อยเพราะผสมยาฆ่าหญ้ามันอันตราย(nguy hiểm=งุย เห-ม) เมื่อปีที่แล้วผมเองก็ได้อ่านข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่อย่างว่าคนที่มีน้ำใจอย่างผมจะปฏิเสธคำเชื้อเชิญดื่มของคนงานได้อย่างไร...เอ้า หมด ฮาย บา...คอม ซาย คอม เหย่(=หนึ่งสองสาม...ไม่เมาไม่กลับ) วันนั้นเลยเป๋กลับห้องนอนตามระเบียบ

ตอนเมื่อปี2004 ก็ได้มีโอกาสไปทำงานที่นิคมไทฮวา จ.ลองอัน ผู้ใหญ่บ้านเขตดึ๊ก หล่อบ ห่า ชวนผมดื่มวันนั้นเป็นเหล้าขาว(หรู กาว) วันนั้นดื่มหมดไปแกลลอนทำเอาเมาแฮ้งค์ไปสองวันเลย แต่ยังดีที่เพื่อนเวียตพากลับห้อง ทำเอาผมอ้วกตลอดทางกลับไปบ้านพักแถวหน้าสนามบินตันเซิงยึก เพื่องานนี่ผมทุ่มเทจริงๆ ชื่อผู้ใหญ่บ้าน ชื่อหล่าว(ตามรูปที่โชว์พุงให้ดู ความสามารถเฉพาะตัว ห้ามเลียนแบบ) ถ้าผมแวะไปเวียตนามทุกครั้งก็ยังคงพบเจอกัน เป็นคนที่จริงใจดีลูกทุ่งเหมือนผม ฮ่า...

ปี 2003 มีอยู่ครั้งหนึ่งผมและผู้จัดการเดินทางด้วยรถแท๊กซี่จากไซง่อนกลับที่ที่พักระหว่างทางก่อนถึงสะพานบินห์ถวน(=เก่า บิน ถวน) ก็เจออุบัติเหตุ(tai nạn=ตาย แหนง) ก็คงประมาณว่าตายแน่... จากสภาพที่เห็นรถที่เวียตนามปกติจะวิ่งชิดขวา(=เบน ฝาย)คิดว่ารถมอเตอร์ไซต์แซงซ้ายแล้วรถเทรลเลอร์ก็ชนทับซะเละเลย ส่วนอีกศพขับมอเตอร์ไซต์ชนท้ายรถบรรทุกหลังหักคารถมอเตอร์ไซต์ สรุปสองศพคืนนั้น ทำเอาเราต้องรีบกลับห้อง เป็นอะไรที่สยอง มาก มาก กลัวจนนอนไม่หลับเลย(=คอม โหงว เดิก)

Critical Time

ปลายปี 2003 ผมไปทำงานที่โฮจิมินห์ ช่วงที่กำลังมีการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 22 แต่ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาไปดูกับเขาหรอกเพราะติดทำงาน กีฬาที่นิยมกันในหมู่คนที่นั่นแบ่งเป็นหลายวัย อย่างวัยรุ่นไม่ต่างจากบ้านเราคือชอบแทงบอล เตะบอล(đá bóng=ด๊า บัน) ตอนตีห้าผมเคยออกไปวิ่งที่สวนสาธาณะติดกับโบสถ์แถวเจอะเลิ้น(เขต5ไชน่าทาวน์) มีคนสูงอายุ มาออกกำลังกาย (thể dục =แถ หยุบ) เยอะมาก วิ่งบ้าง เดินบ้าง รำไท๊เก็กบ้าง รำกระบี่ก็มี บ้างก็เตะลูกขนไก่(chơi cầu =เจย เก่า)เตะก็คล้ายเตะตะกร้อ แต่เขตโบสถ์เขาไม่อนุญาต(ดึ่ง เจย เก่า)ให้เล่นนะครับ ไอ้เจ้าเตะลูกขนไก่นี่เห็นเล่นกันได้ทุกวัยเลยและเห็นทุกที่ ถึงว่าปีนี้ตะกร้อหญิงเวียตนามถึงได้แชมป์ซีเกมส์ที่ผ่านมาที่ฟิลิปปินส์ ส่วนเต้นแอร์โรบิค ผมไม่เคยเห็นนะครับ



มาว่าถึงซีเกมส์ครั้งที่ผมอยู่ดีกว่า สัญลักษณ์ปีนั้นเป็นควาย ควาย(con trâu =กอน เจา)นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ ถ้าเป็นบ้านเราคงเป็นช้างนะครับ โรงแรมเฟืองนำที่ผมได้ไปพักหน้าโรงแรมก็ยังมีรูปปั้นเด็กเลี้ยงควายเลย แต่ที่เหมือนกับบ้านเราก็คือพบเจอควายกันน้อยมาก ต้องไปชนบทไกลเมืองถึงจะเห็นว่ามี ตอนนั้นมีฟุตบอลทีมไทยเรามาแข่งรอบคัดเลือก แต่ใกล้รอบชิงก็ไปแข่งที่ฮานอย เพื่อนหลายคนก็บ่นเหมือนกันว่าเมืองโฮจิมินห์เหมือนลูกเมียน้อย กีฬาโปรดปรานก็ไปแข่งที่ฮานอยหมดรวมทั้งฟุตบอลที่พวกเขาชื่นชอบด้วย วันนั้นเป็นวันศุกร์จำได้ว่าเป็นรอบก่อนรองชนะเลิศทีมชาติเวียตนามแข่งกับมาเลเซีย(=มา ลาย)เย็นวันนั้นเวียตนามชนะซะด้วย เกิดจราจลขึ้นทั่วเมืองโฮจิมินห์ฝูงมอเตอร์ไซต์แสดงความดีใจกันอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ตำรวจก็ไม่กล้ายุ่ง ทั้งเมาเหล้าเมามันส์โห่ร้องถือธงชาติปลิวสะบัดเต็มท้องถนน เพื่อนที่ทำงานบอกผมว่าอยากกลับบ้านก็กลับไม่ได้รถติดมาก วันนั้นก็เลยงดเข้าไปกินเหล้าในเมือง เช้าวันต่อมามีข่าวลงว่ามีอุบัติเหตุจากการฉลองดังกล่าวเกิดทั่วไปส่วนมากจะเป็นเมาแล้วขับ คืนนั้นกลับไปถึงโรงแรมที่พักกว่าสี่ทุ่มไฟโรงแรมก็ดับอีก จำได้ว่าไฟดับเดือนละสามสี่ครั้งทั้งกลางวันและกลางคืน ถามคนที่นั่นเองเขาว่าเป็นเรื่องปกติ พักหลังชักถี่ แถวที่ผมพักรายรอบด้วยนิคมอุตสาหกรรมไม่ต่ำกว่าสี่ห้านิคมซึ่งใช้ไฟกันเยอะจริงๆ ปากทางนิคมก็มีแต่เครื่องปั่นไฟGenerator(máy phát điện =ไม๊ ฟัก เด๋ง) คิดว่าปัจจุบันคงดีขึ้น เพราะมีการสร้าง PowerPlant ขึ้นหลายที่แล้ว



ทีนี้พอรอบชิงก็คู่ไทยกับเวียตนามแต่ไปแข่งที่สนามฮานอย วันนั้นชวนเพื่อนร่วมงานหลายคนไปร่วมชมที่ร้านอาหารในโรงแรมคนเต็มทุกโต๊ะ ครึ่งแรกยังเสมอ พอครึ่งหลังก่อนหมดเวลาไทยจบชนะที่สองศูนย์(=จิ๊ง ทั้ง) วันนั้นมีผมเฮอยู่คนเดียว ทำเอาเสียวเหมือนกันเพราะผมเป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่นั่งดู วันนั้นหลังจากเพื่อนกลับ ผมกับเพื่อนอีกคนชื่อแคง ก็ถือโอกาสขี่รถชมรอบเมืองคืนนั้น พบว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าเงียบสงัดผิดกับครั้งที่ชนะมา-ลาย จริงๆ

Thursday, May 10, 2007

MV Tour Saigon

มีเพื่อนบางท่านอยากนักหนาจะไปเที่ยวที่ไซง่อน ผมก็ไม่ค่อยได้เสริมข้อมูล เลยต้องอาศัยสามสาววง TyMyTy พาเพื่อนๆไปเที่ยวดูเมืองไซง่อนว่ามีอะไรน่าเที่ยวบ้าง แต่เป็นMV สามปีมาแล้ว ตอนนี้ก็คงไม่ต่างจากเดิม หากบางท่านจำได้ว่าเป็นสถานที่ใดก็ลองช่วยเสริมดูนะครับ

Wednesday, May 9, 2007

Gay in Vietnam

กะเทย หรือที่คนเวียตนามเรียกว่า "เม เด" ซึ่งผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นคำเปรียบเทียบ หรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ ตั้งแต่เริ่มเข้าไปทำงานที่ อ.บินห์ยึง ผมได้เดินทางไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ Khách sạn Phuong Nam(=คัด แฉ่ง เฟือง นำ=โรงแรมถิ่นใต้) คนขับรถชื่อถั่น มีพนักงานมาต้อนรับพร้อมขอพาสปอร์ตเพื่อทำลงแจ้งการพักของคนต่างด้าวในเขตสถานีตำรวจท้องถิ่นและอีกใบคือใบเหลืองที่กรอกตอนอยู่บนเครื่องบินต้องแนบไปด้วยกัน ดังนั้น ผมจึงต้องขอสำเนาเก็บไว้อย่างละหนึ่งชุด เพื่อสะดวกในการออกไปกินเหล้าของพวกเรา...เอ้ยไม่ใช่...เพื่อการขอตรวจค้นในระหว่างเดินเอกสารต่อเจ้าหน้าที่
(ดูที่http://www.thaimisc.com/freewebboard/php/vreply.php?user=j_inrudee&topic=36 )

บรรยากาศภายในร่มรื่นดี เจ้าของโรงแรมพอทราบว่าเราเป็นกลุ่มคนไทยก็ดีใจ และตัวเขาเองก็เดินทางไปเที่ยวเมืองไทยบ่อยๆโดยเฉพาะพัทยา เชียงใหม่ กรุงเทพ ก็รู้สึกประทับใจ และได้นำความคิดต่างๆมาทำการปรับปรุงโรงแรมของเขาเองให้สวยงาม มีเรื่องเด็ดเด็ดเกิดขึ้นที่นี่มากมายคงเอาไว้เล่าคราวหน้า ในบรรดาพนักงานโรงแรมแทบจะหาคนพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก มีเพียง สองคนเท่านั้นที่พอจะรู้บ้าง หนึ่งในนั้นเป็น "เม เด" ท่าทางก็ตุ้งติ้ง แต่นิสัยดี ไม่แต่งหน้าทาปากเสริมนม หรือแสดงกิริยารบกวนแขก ตั้งแต่ มาโฮจิมินห์ จนถึงปัจจุบัน ผมพบเห็น เม เด ไม่เกินสิบคนเอง ก็ถือว่าแปลก ผมว่าสิ่งนี้สังคมชาวเวียตไม่อาจยอมรับ เป็นสิ่งไม่น่านับถือ และสื่อทีวีก็ไม่ได้เผยแพร่อย่างบ้านเรา ดังนั้นการลอกเลียนแบบแล้วถือเอาอย่างนิยมก็เลยไม่ค่อยมีให้เห็น นี่นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่บ้านเราต้องกลับมาทบทวนอีกแล้วซิ เครียดเลย...ปกติกลางวันจะพบเจอ เมเด นั้นยาก ผมพบโดยมากจะเป็นกลุ่มเที่ยวกลางคืน อย่างที่ผับอะโพกาลิป นี่ก็เยอะโดยมากจะจับฝรั่ง หน้าไทยใสๆเลยรอดไป กับอีกที่ก็ผับแถวถนนเหวียงเหว่ ผับนัมเบอร์วันเลทั้นโต ก็เลิกร้านประมาณเที่ยงคืน ผมเห็นเมเด พาน้องไก่มาล่อหลอกฝรั่ง แต่ฝรั่งไม่เล่นด้วยเลยแห้วทั้งคู่ ฮ่า..
รูปนี้ถ่ายที่โรงแรมนานแล้วเมื่อปี 2003 เป็นช่วง Tet ปีใหม่ ทุกที่จะประดับดอกไม้นำโชคสีเหลือง Hoa Mai (ฮวา มาย) คงไม่เกี่ยวกับเรารักในหลวงนะครับ เพราะเขาปฏิบัติกันมานานแล้ว ส่วนภาคเหนือจะเป็นดอกสีแดง เรียกว่า Hoa Dao (ฮวา ด่าว) ทางเหนือจะมีความเชื่อเกี่ยวกับปกป้องภัยจากภูตผี ทางใต้จะเชื่อเรื่องนำโชคและความสุข จึงนิยมตั้งไว้หน้าบ้านช่วงเทศกาลปีใหม่ ราคาเช่าหรือขายเป็นกระถางถูกแพงขึ้นกับจำนวนพุ่มดอกและทรงของต้น ดอกยิ่งเยอะยิ่งแพง(คงเหมือนดอกเบี้ย) เคยถามเพื่อนๆเหมือนกันว่าหมดช่วงเทศกาลไม่มีดอกแล้วทำอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่าโดยมากเขาจะเอากลับไปที่สถานอนุบาลต้นไม้ซึ่งอยู่นอกเมือง พอช่วงเทศกาลบางคนซื้อบางคนเช่าก็แล้วแต่นะครับ แต่ยังไงก็คงจะราคาถูกกว่า องค์จตรุคาม ที่กำลังนิยมกันอยู่ในบ้านเรานะ เพราะคนเวียตเขาไม่แขวนพระ จะมีก็แต่คนเวียตคริสเตียนที่แขวนแต่กางแขนนะครับ ฮ่า...

Sunday, May 6, 2007

Misunderstand


มีเพื่อนๆหลายคน บ่นว่าคำในภาษาเวียตนามมีคำเรียกที่แตกต่างกัน เนื่องจากเวียตนามเองประกอบด้วยชนกลุ่มหลายกลุ่มด้วยกัน หลักๆก็มี ภาษาเหนือ, กลาง,ใต้ นอกนั้นก็มีภาษาตะวันออก ,ตก ,จาม(เช่น ông-ออม-ท่าน,คุณ) ภาษาชาวเขา(người núi =เหง่ย นุ้ย) กว่า 50 เผ่า ซึ่งโดยมากอาศัยอยู่ตามภาคเหนือเช่น เมืองSapa...ซึ่งรวมถึงเผ่าไท้( Thái) หรือคนไทย ซึ่งผมได้ดูวีดีโอไว้เล่ารายละเอียดคราวต่อไป อื่นๆตามแนวเขาฝั่งที่ติดกับลาว อย่างที่ผมเคยไปเที่ยวที่ เมืองด่าลัด จะมีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าเขา Lang Biang(ลาง เบียง) ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรัก ใครอยากสมหวังเรื่องความรักก็ลองไปดู ที่นั่นมีชาวเขาเผ่าลาว ก็พูดคุยกับเราได้รู้เรื่องที่สุด เขามีหลายเรื่องเล่ากับเรา เอาไว้คงเล่าในคราวต่อไป
ก่อนสงครามเวียตนาม(กับอเมริกา) เมืองไซง่อนหรือโฮจิมินห์ชื่อใหม่นั้น เป็นเมืองที่มีความเจริญมากกว่าบางกอกหรือกรุงเทพของเราเสียอีก กลุ่มคนไม่ว่าจะภาคกลาง เว้ ด่าหนัง ยาจาง ต่างก็เข้ามาทำงาน บ้างเรียนหนังสือ หลังจากสงครามเวียตนามสิ้นสุดกลุ่มปัญญาชนที่ไม่พอใจต่างกลัวและพยายามหลบหนี เพราะรู้ว่าระบบคอมมิวนิสต์ต้องถูกยึดทรัพย์สิน ที่ดิน เข้าหลวง บางคนถึงขนาดตัดสินใจพาครอบครัวอพยพหนีไปที่อื่นทั้งทางเรือและเดินเท้า เข้ามาทั้งทางไทย ไปฟิลิปปินส์ก็มี เพื่อลี้ภัยไปยังที่อื่นต่อ น้องชายเพื่อนเวียตคนหนึ่งได้นั่งเรือหวังไปอเมริกากับครอบครัวต้องถูกทหารยิงเสียชีวิตขณะที่เอาตัวเองปกป้องพ่อไม่ให้ถูกทหารยิง ภาพการอพยพก็คงเหมือนอย่างที่เราได้ยินจากเพลงเรฟูจีของวงคาราบาว ส่วนบางคนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ผมฟังว่า เขาคงจะเรียนจบมหาวิทยาลัย มีงานดีเงินดีไปแล้วถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ ตึกแถวห้องพักสมัยเมื่อก่อนสงครามก็ยังคงมีอยู่ผมก็ไปพักมาแล้วคงต้องต่อรายละเอียดกันคราวหน้า
ในเขตภาคใต้ อย่างในเมืองโฮจิมินห์ การที่จะหาอาหารภาคกลางจึงไม่ยาก เพราะโดยมากจะเป็นคนภาคกลาง เพื่อนเวียตผมบางคนมีสายมาจากราชวงศ์เก่าแก่ทางภาคกลาง เคยไปนั่งดูรายชื่อสายตระกูลยาวสี่ห้าพับหน้าสมุดกันเลย ฮ่า... ด้วยปัจจุบัน สื่อต่างๆ ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์(เว้นแต่ HTV และ Local อื่นๆ) ที่เป็นภาษากลาง ทำให้เด็กรุ่นใหม่ใช้ภาษากลาง ก็มีแต่รุ่นพ่อแม่เท่านั้นที่ยังคงใช้ภาษาถิ่นเดิม พอจะยกตัวอย่างคำดังนี้

-คำขานรับ ภาคเหนือจะเป็น Vang=ฟวัง ทางใต้จะเป็น da=ยา(เสียงสระออกสั้น) ผมว่าคล้ายคำว่า จ๊ะ อย่างบ้านเราใช้กัน แต่เวลาผมพูดทีไร นึกถึงเวลากะเทยพูดทุกที
-ชามก๋วยเตี๋ยว เวลาแวะไปกินข้างถนนที่ภาคใต้ ผมก็จะสั่งก๋วยเตี๋ยวชามนึง(Cho anh một cái to=จอ อัน หมด ไก๊ ตอ-ว) แต่ไปกินข้าวบ้านเพื่อนคนเหนือ ต้องเรียกชามว่า ก็ บั๊ด(cái bát) ไม่ได้เรียกว่า ไก๊ ตอ-ว สาเหตุถ้าจะให้เดาก็คงเนื่องจาก คำว่า บั๊ด นั้น น่าจะคล้ายภาษาเหนือบ้านเราว่า "หลวง" ที่แปลว่า ใหญ่ รวมก็คือ ชามใบใหญ่นั้นเอง ส่วนคำว่า ตอ-ว นั้น แปลว่าใหญ่ อยู่แล้ว
-ตอนไปร้านถ่ายรูปเพื่อทำVisa ทางภาคใต้จะเรียกรูปถ่ายหรือรูป ว่า "จุบ เพิ่น" แต่ว่าภาษาเหนือจะเรียกว่า "จุบ อั๋น(chụp ảnh) หรือ อั๋น" ผมกับพี่คนหนึ่งก็เข้าใจผิดกันบ่อยๆเวลาเรียกกัน
คงมีหลากหลายคำ ที่ผมเองก็จำไม่ได้แล้ว ล่ะ