หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)

Friday, October 2, 2009

Truyền Kiều

Truyền Kiều
Một mình lặng ngắm bóng nga
Rộn đường gần với nồi xa bời bời
Người mà đến thế thì thôi
Đời phồn hoa cũng là đời bỏ đi
Người mà gặp gỡ làm chi
Trăm năm biết có duyên gì hay không
Truyền Kiều : Nguyễn Du
Truyện Kiều เจวี่ยน เกี่ยวหรือบทประพันธ์เกี่ยว แต่งโดย Nguyễn Du (1765-1820) เป็นบทประพันธ์ที่คลาสิกของเวียตนาม ด้วยจำนวนกว่า 3,254 บรรทัด นิยมขับร้องด้วยทำนองพื้นบ้านและเครื่องดนตรีพื้นเมือง(ca dao) รวมทั้งการนำบทประพันธ์ไปเขียนอย่างงดงามด้วยพู่กันจีน เนื้อหากล่าวถึงชีวิต ที่ลำบากยากแค้น ของหญิงสาวชื่อThúy Kiều สาวแรกรุ่นที่สวยและเก่ง ได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของตน เธอจึงไม่เหมือนผู้หญิงที่ขายตัวทั่วไป เพียงแต่ต้องการช่วยพ่อและน้องชายจากการจองจำในคุก
Nguyễn Du แต่งโดยใช้เค้าโครงจากเรื่องKim Vân Kiều บทประพันธ์ที่คลาสิกของจีน โดยนำพาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องในปลายศตวรรษที่18 ยุคราชวงศ์ Lê โดยมีกษัตริย์ Trịnh ปกครองทางตอนเหนือและมีกษัตริย์ Nguyễn ปกครองทางตอนใต้ ในขณะที่ทั้งสองมีความขัดแย้งกัน กลุ่มกบฏ Tây Sơnก็ได้ทำการปฏิวัติ ยึดอำนาจจากสองกษัตริย์ จวบจนนับสิบปี ตัวNguyễn Du เองนั้นจงรักภักดีต่อราชวงศ์Lêและหวังว่าราชวงศ์นี้จะกลับมาปกครองอีกครั้ง จนในปี คศ.1802 กษัตริย์Nguyễn Ánhได้รวบรวมอาณาจักรเวียตนามทั้งหมดและได้ก่อตั้งราชวงศ์Nguyễn สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ์ยาลอง(Gia Long) และอยากให้ Nguyễn Du เข้าร่วมงาน แต่เขาไม่เต็มใจนัก เหตุการณ์ในตอนนั้นเปรียบได้กับตัวเอกของเรื่องที่ เขาแต่งในTruyện Kiều บทประพันธ์ถูกเขียนไปในเชิงแฝงความคิด ที่ขัดแย้งความเชื่อ อย่างลัทธิเต๋าขงจื้อ อาทิเช่น
-เริ่มด้วยความลำบากของหญิงสาวจากความโลภของขุนนางจีนคนหนึ่ง แต่กลับยกย่องขุนางอย่างมีศีลธรรม
-กลุ่มจราจลTu Hai ถูกยกย่อง แต่ว่ากษัตริย์Nguyen Tu Duc กล่าวว่าคนแต่งนี้สมควรจะได้รับโทษอาญา
-นางหลงรักชายหลายคนที่ไม่ได้เห็นชอบจากพ่อแม่ ความรักที่มีข้อกังขาขัดหลักการขงจื้อ
-นางหลงรักชายสามคนที่มีความแตกต่างกัน แต่นางคงความซื่อสัตย์ที่มีต่อชายหนึ่งเดียวที่เข้ามาในชีวิตเธอ ต้นฉบับแต่งด้วยภาษาเวียตนามโบราณ(จีน) และได้แปลคำอ่านเป็นภาษาเวียตนามปัจจุบันตามที่ทางคุณNgaได้ลงบทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ ผมไม่ค่อยถนัดงานแปลหากมีโอกาสจะแปลให้คราวหน้านะครับ

Sunday, November 30, 2008

สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

จะว่าไปแล้วความเชื่อของคนเวียตกับคนไทยก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก ผมจำเมื่อครั้งปี 2550 นั้นเป็นปีที่คนบ้านเราขาดกำลังใจและศรัทธาอย่างรุนแรง จตุคามซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่มีกระแสปลุกเสกกันอย่างกว้างขวางและคลั่งไคล้ แต่ทว่าไม่ถึงปีก็เสื่อมความนิยมลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้ว่า วัตถุมงคลไม่ได้ช่วยอะไรไปมากกว่าความสบายใจแค่ชั่วคราวเท่านั้น วันนี้ผมได้เดินทางร่วมไปกับคณะลูกทัวร์ผู้ที่อาศัยอยู่ลุมพินีนวมินทร์แฮปปี้แลนด์ โครงการเที่ยวเจ็ดวัด(ยือ อ๊าน ไบ๋ จั่ว) ในจังหวัดนครปฐม แต่โปรแกรมสถานที่มีการเปลี่ยนแปลง ที่แรกที่ได้ไปก็คือวัดดอนหวาย เขตอำเภอสามพราน เป็นสถานที่ขึ้นชื่อในหมู่นักชอบปิ้งของกินทั้งนั้น สาวสาวชอบมากเป็นตลาดที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่6 ตามคำบอกเล่าชาวบ้านนั้นเดิมทีสถานที่นี้เดิมเรียกว่าโคกหวายเพราะมีต้นหวายอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2394 โดยสงฆ์(ดอบ ฝัก)สานุศิษย์ของหลวงพ่อโสธรฉะเชิงเทรา เดิมทีเป็นชุมชนเก่าแก่ชาวจีนติดริมแม่น้ำท่าจีน(ซอม ท่า จีน)ซึ่งมีต้นน้ำแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่จ.ชัยนาทปลายแม่น้ำออกมหาชัยสมุทรปราการ มีหลายตระกูลอาทิแซ่อึ้ง แซ่เตียว แซ่โง้ว แซ่ลิ้ม ต่อมาได้กลมกลืนเป็นคนไทยไปแล้ว เราค่อนข้างมาเช้าไปหน่อยตลาดพึ่งจะเปิดขาย ส่วนมากเป็นของกิน ส้มโอนครชัยศรี ทับทิม แตงโม(เหยื่อ)น้ำผึ้งเปลือกเขียวเนื้อเหลือง แตงโมไดอาน่าที่ลูกเหลืองเนื้อแดง หนังปลากรายทอดกรอบ และอื่นๆ ของแปลกที่เจออีกก็มี เจอต้นฮว่านหง๊อก คนขายเล่าว่ามีสรรพคุณหลายอย่างจำไม่ได้ บ้านเราเรียกว่าพญาวานร คือลิงไปกินแล้วหายเจ็บป่วยคนเราก็เลยเอาไปกินบ้าง เป็นพืชที่นำมาจากเวียตนามต้นละ50บาทสี่ต้นร้อยบาท ท่าน้ำมีเรือเช่าชั่วโมงชมทัศนีนภาพแม่น้ำ ตอนเหนือแม่น้ำไม่ไกลเป็นที่ประทับรับรองฟ้าหญิงอุบลรัตน์ อากาศวันนี้เย็นดีแดดไม่มีเลย ท่าน้ำก็เต็มไปด้วยปลาสวาย ตัวโตโตแก่แก่(เลิ้ง เลิ้ง หย่า หย่า ) ที่จอดรถเต็มตอนเราออกมา เราไปวัดไร่ขิงต่อซึ่งห่างจากจุดนี้ไปห้ากิโลเมตร ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดไร่ขิงขอพรแล้วสมปรารถนา วัดนี้พื้นที่จอดรถกว้างมากหอระฆังใหญ่มาก คนมากันเยอะมาก โดยจะมากันเป็นครอบครัวไหว้พระขอพร ตรงข้ามอุโบสถเป็นที่ตั้งศพบำเพ็ญ มีวงปี่พาทย์มอญสวยงามมากกำลังบรรเลง ชุมชนนี้มีคนมอญอาศัยอยู่มากตั้งแต่รัชกาลที่1 รัตนโกสินทร์ คงจะเป็นตอนที่ช่วยกู้ชาติตอนเสียกรุงศรีอยุธยา ทราบว่าวัดนี้ก็ก่อตั้งโดยสานุศิษย์อีกรูปหนึ่งของหลวงพ่อโสธรเช่นกัน คงจะก่อตั้งระยะเวลาไล่เลี่ยกับวัดดอนหวาย เดิมทีตรงนี้เป็นไรป่าขิงจึงเป็นที่มาของชื่อวัด หลวงพ่อวัดไร่ขิงคือพระพุทธรูปปางมารวิชัยคือนั่งขัดสมาสหัตถ์ขวาคว่ำวางที่หน้าแข้ง หันหน้าไปทางแม่น้ำท่าจีน(ทิศเหนือ) ที่นี่ห้ามจุดประทัดดภายในวัด จะมีสถานที่ให้จุดเป็นห้องเก็บเสียงติดตีนสะพาน(เก่า ท่า จีน)แม่น้ำท่าจีนห่างอุโบสถสองร้อยเมตร แปลกดี ต่อไปก็เป็นวัดไผ่ล้อมหลวงพ่อพูล เดิมมีต้นไผ่ล้อมรอบวัด ตามภาษาอินเดียไผ่เรียกว่าเวฬุ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว ที่นี่ขึ้นชื่อทางด้านให้หวยแม่น ศพหลวงพ่อพูลไม่เผาแต่ถูกเก็บไว้ในโลงแก้วตามความเชื่อหรือเอาไว้หากินก็ไม่ทราบได้ ฮ่า...แต่ที่นี่มีหลายคนไปซื้อหวย(เว้ โซ้)แล้วถูกก็มี ส่วนที่กำลังมาแรงตอนนี้ก็วัวธนู ให้คุณทางค้าขายร่ำรวย ปัจจุบันทางวัดมีหลวงพี่น้ำฝนเป็นผู้บริหาร คนก็เยอะมากๆ ไม่ไกลนัก ผมสังเกตเห็นพระปฐมเจดีย์วรมหาวิหาร อยู่ไกลๆ ถามชาวบ้าน เล่าว่ากำลังอยู่ในระหว่างบูรณะเพราะฐานทรุด แต่ก่อนที่เราจะไปนั้น เราจะต้องไปที่พระราชวังสนามจันทร์ซึ่งเป็นวังเก่าของ ร.6 จะเป็นอย่างไรคงไว้เล่าคราวต่อไป

Tuesday, October 7, 2008

แค่ผงเข้าตา

สัปดาห์นี้ เพลงBụi Bay Vào Mắt(แค่ผงเข้าตา) เป็นเพลงที่ฮิตติดอันดับมาเกือบเดือนแล้ว ร้องโดยนักร้องสาวชื่อPhạm Quỳnh Anh อัลบั้มNợ Ai Đó Cả Thế Giới นับเป็นอัลบั้มที่สองแล้ว มาดูประวัติเธอสักนิด เธอเกิดปี 1984 อายุก็ 24 ปีแล้ว เกิดที่เวียตนาม ร้องสไตล์เพลงป๊อบ เป็นอดีตสมาชิกกลุ่มนักร้องวงSắc Màu (Hanoi)และ H.A.T ที่มีชื่อเสียงเคยดูทางทีวีครั้งนึงร้องคล้ายๆน้องโฟร์-มด(ช่วงนี้คลิปหลุดยังอยู่ในการฟ้องร้อง) ในบ้านเรา...ปัจจุบันสังกัดอยู่ค่ายดนตรีThế Giới Giải Trí(ดนตรีสากล) แรกเริ่มเดิมทีเข้าวงการเป็นนักร้องในวงSắc Màu ก่อนจะมาอยู่ในกลุ่มนักร้องสาวH.A.T ตัวA.=Anhเป็นชื่อย่อของเธอ มาร้องเพลงคู่กับตา Ưng Hoàng Phúcอยู่พักนึงก่อนที่จะแยกวงกับH.A.T มาทำอัลบั้มเดี่ยวกับค่ายเพลงThế Giới Giải Trí นับถึงปัจจุบันนี้เธอมีผลงานสองอัลบั้มแล้ว อันแรกชื่อว่า "Hoa Quỳnh Anh... Chung Tình" สองคืออัลบั้ม"Nợ Ai Đó Cả Thế Giới"เท่าที่ฟังดูเพลงนี้ใสดีผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าคิกขุแอบแบ๊วได้หรือเปล่า ถ้าไม่ดูประวัติ ก็คงนึกว่าเอาเด็กน้อยมาร้องเพลง วันก่อนมีเพื่อนไปเที่ยวร้านแถวถนนชัยพฤกษ์ชื่อร้านโรงเตี๊ยมเจอพนักงานสาวที่ร้านส่วนใหญ่เป็นคนเวียตนาม ผมเคยไปอีกที่ชื่อร้านย้อนยุคที่นั่นก็มีบ้างแต่ไม่มากนัก อีกที่นึงที่เคยมีคนไปชื่อร้านอเมริกันสเต๊กเลยป้อมตำรวจแยกไทรน้อยเส้นวงแหวนรอบนอกทางไปสุพรรณได้ข่าวว่าอ๊อฟได้ด้วย(ข่าวไม่ได้กรอง) ก็เป็นคำถามจากคนที่เคยไปส่วนใหญ่จะถามว่าทำไมคนเวียตนามรูปร่างเล็ก อันนี้เท่าที่สังเกตส่วนมากก็เป็นเช่นนั้น ชีวิตโอกาสที่นั่นยาก อย่างอื่นก็คงตามที่ทุกท่านทราบกันดี(ผิวพรรณ) นับแต่ช่วงน้ำมันขึ้นราคาเศรษฐกิจที่แย่นั้นผลักดันให้คนเวียตนามจำนวนมากต้องเข้ามาที่ประเทศไทยเพราะงานที่เงินดีมากๆทิปดีมาก ปากต่อปาก ทำให้คนเหล่านั้นไหลเวียนเข้ามา รวมทั้งยาบ้าหรือมา-ตุ๊ย เมืองไทยนั้นน่าอยู่ เพราะเราทำให้มันน่าอยู่ ช่วยกันหน่อยนะพี่น้องชาวไทย...

Friday, October 3, 2008

วิธีลดโลกร้อนของชาวไซง่อน

การเดินทางไปทำงานด้วยรถเมล์ ลดค่าไฟด้วยการใช้หลอดประหยัดไฟ งดใช้ถุง พลาสติก เพื่อลดโลกร้อน ในเมืองไซง่อนหรือโฮจิมินห์ หากพูดว่า"Sài Gòn xanh=ใส่ ก่อน ซัง"(ไซง่อนเขียว)จะเป็นที่ทราบกันในหมู่นักดื่มกินเที่ยวว่าหมายถึงการสั่งเบียร์สักขวดนึงมาดื่มสนนราคาขวดละ 8.000ด่อง สำหรับชาวไซง่อนแล้วเบียร์ไซง่อน(Bia Sài Gòn)นั้นนับว่าเป็นที่นิยมกันมาก โดยแบ่งออกเป็นสองชนิดตามสีของฉลากขวด คือ Sài Gòn đỏ (ใส่ ก่อน ด๋อ=ไซง่อนแดง) ฉลากขวดแดง และSài Gòn xanh ฉลากขวดสีเขียว ผมดื่มแล้วรู้สึกว่ารสชาติของขวดเขียวดื่มนุ่มกว่า ส่วนขวดแดงดีกรีแรงกว่าเปิดมาฟองจะฟูมากกว่า ดีกรี7% เบียร์แรงที่เคยดื่มมาก็เบียร์ดำRoyal Stout ของคาลส์เบิร์ก มาเลย์ สไตล์เดนนิชเป็นเบียร์สีดำกลิ่นออกโสมเกาหลีดีกรี8% ลองชิมที่บ้านเพื่อนคนแคนนาดาคุณAndyเผอิญเพื่อนคนฮอลแลนด์ชื่อดุ๊กแวะมาเยี่ยมที่พัทลุง เมื่อช่วงงานบุญส่งผีปู่ย่าตายายเมื่อ 29ก.ย.ที่ผ่านมา ก็แรงดีกระป๋องเดียวก็ตึงแล้ว นอกเรื่องอีกแล้วมาเข้าเรื่องกันดีกว่า ทีนี้มาเข้าเรื่องของ Sài Gòn xanh กัน ซึ่งคงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเบียร์แต่เกี่ยวข้องกับการสร้างนิสัยรักษ์สิ่งแวดล้อมและพื้นที่สีเขียวของชาวไซง่อน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อข่าวท้องถิ่นไซง่อน ได้ย้ำถึงผลการรายงาน การอภิปรายปัญหามากมายที่เกิดจากการใช้ถุงพลาสติก(Poly Ethylene=PE) หรือตามที่คนเวียตนามเรียกว่า túi xốp siêu thị(ตุ๊ย ซ้อบ ซิว ถิ=ถุงห้างช้อปปิ้ง) หรือ túi nylong(ตุ๊ย นาย ลอง=ถุงไนล่อน) ซึ่งถุงเหล่านี้สามารถพบได้โดยทั่วไปตามบ้าน เมื่อเลิกงาน บรรดาผู้คนไปตลาดเพื่อซื้อกับข้าวในมื้อเย็น รวมทั้ง เนื้อ ผัก ปลา อาหาร ซึ่งต้องใช้ถุงพลาสติกใส่แยกชิ้นกัน หลังรับประทานเสร็จเศษอาหาร ต่างๆรวมทั้งขยะต่างๆที่ต้องใส่ลงถุง ลงถังกันในแต่ละวัน จากข้อมูลดังกล่าวถ้านับแล้ว วันละเฉลี่ยห้าถึงสิบถุงใน 260วันต่อปี(คนทำงาน5วันต่อสัปดาห์,ปีละ52สัปดาห์) แต่ละปี คนไซง่อนคนหนึ่งจะสร้างขยะถุงพลาสติกถึงกว่า 1,300 ใบ โดยในจำนวนนี้ยังไม่รวมการใช้ถุงพลาสติกในช่วงหยุดสุดสัปดาห์! ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ก็คงไม่ได้มากมายตามสถิติการใช้ต่อปี โดยชาวเวียตนามมีการใช้ถุงพลาสติกถึง 40 พันล้านถุงต่อปี คนเวียตนามทิ้งถุงดังกล่าว 480 ถุงต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ อย่างในอังกฤษ คนเขาใช้ถุงพลาสติก 8พันล้านถุงต่อปีเฉลี่ย 133 ถุงต่อคนต่อปี ในเวียตนาม ถุงพลาสติกใช้ได้ทนทานนานกว่าห่อด้วยกระดาษและใบตอง แต่ว่าการย่อยสลายตัวนั้นยาวนานมากๆ อย่างในประเทศที่กำลังพัฒนา หลายๆประเทศเองก็ได้ประสบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับถุงพลาสติกต่อสังคมและชุมชน เช่นกัน โดยในเวียตนาม เมืองโฮจิมินห์ ห้าง METRO CASH&CARRY(ถนนออกเมืองไซง่อนสายฮานอยก่อนถึงเขตถู ดึก) เป็นเป้าหมายแรกของการหยุดขยะพลาสติก และสนับสนุนการใช้ถุงผ้าแทนที่ แต่ก็มีร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ยังคงยากที่จะงดใช้ถุงพลาสติก เพราะทุนไม่หนาพออย่างห้างใหญ่ๆ หากต้องแจกถุงผ้า ทางหน่วยงานของรัฐเองก็สนับสนุนการประหยัดพลังงานไฟฟ้าโดยการใช้น้อยและปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นใช้งาน ปรับเครื่องทำความเย็นให้สูงขึ้นเพื่อประหยัดไฟ ในส่วนของบ้านเรือน โรงงาน ปรับเปลี่ยนไปใช้หลอดผอมประหยัดไฟ แทนหลอดไส้ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา EVN(Electricity of Vietnam) หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและจัดจำหน่ายเวียตนาม ได้มีการรณรงค์ใช้หลอดประหยัดไฟ มีการจัดจำหน่ายไปทั่วประเทศ แต่แผนงานก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายนักที่จะประสบผลเพราะทางEVNเป็นผู้ผลิตไฟฟ้า ไม่ได้เป็นผู้ขายหลอดไฟโดยตรง การขยับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันรถเป็นเหมือนการบังคับให้คนไซง่อนต้องรักษ์สิ่งแวดล้อมไปโดยปริยาย ทางการเองก็รณรงค์การงดใช้ มอ'ไซต์แล้วหันมาใช้รถเมล์ หรือเดินเท้าในระยะทางใกล้ๆแทน บางคนก็หันมาใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วยการใช้กระดาษแทนถุงพลาสติก พูดง่ายแต่ก็ทำได้ยาก ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาพอควร บางครั้งต้องลดความสะดวกสบายลงบ้าง Bioplastic ซึ่งเป็นพลาสติกพิเศษผสมเส้นใยธรรมชาติสามารถย่อยสลายได้ด้วยตนเองเป็นแนวคิดหนึ่งที่จะเข้ามาแทนที่ถุงพลาสติก แต่ก็ยังคงมีราคาที่สูงอยู่ ซึ่งก็คงยากหากจะงดใช้ถุงพลาสติกที่สะดวกกว่าในทันที การนำแนวคิดมาใช้ควรเริ่มทำที่ตัวแทนจำหน่ายผู้ผลิตที่จะลดการผลิตถุงนี้ โดยเริ่มจากการทำหีบห่อด้วยกระดาษหลายกล่องแล้วนำไปใส่ถุงพลาสติกใหญ่เพียงถุงเดียว อันนี้ก็ช่วยได้ ส่วนบ้านเราก็มีการนำกระดาษอัดชานอ้อยเป็นจาน ถ้วย ราคาก็สูงพอควร พอใช้ซ้ำครั้งสองครั้งพอได้ มาตรการของห้าง METRO CASH&CARRY นั้นได้เริ่มการงดแจกถุงพลาสติกฟรี จนสิ้นสุดเวลา จึงจะทำการขายถุงผ้าโดยลูกค้าต้องจ่ายเงินซื้อเอง แต่ก็นับว่ามีประโยชน์เพราะถุงผ้านั้นใช้ใส่ของได้หลายๆครั้ง ผู้จัดจำหน่ายทั่วไปก็สามารถทำได้ ยิ่งถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้งดการใช้ถุงพลาสติก หรือหากจะปรับราคาถุงเล็กให้สูงขึ้นและปรับราคาถุงใหญ่ให้ถูกลง โดยทั่วไปแล้ว ถุงใหญ่สนนราคาถุงละ1.000หรือ2.000ด่อง แม่บ้านไซง่อนหลายคนเองก็คงไม่อยากซื้อไปใช้แน่เมื่อเทียบกับการที่ต้องใช้ถึงสี่ถุง บางทีเอาตังค์นั้นไปซื้อ Sài Gòn xanh สักขวดให้สามียังจะดีกว่า ฮ่า...(สี่ถุง=8.000ด่อง=เบียร์ 1 ขวด) ที่มา:Quynh Thu,Saigon Times Weekly