หัวข้อยอดนิยม

culture (9) customs (1) economic (2) Education (5) Entertainment (5) famous (1) food (7) football (1) gameshow (1) general (1) History (10) language (16) law (1) lifestlye (32) lifestyle (6) Music (1) MV (5) place (1) politic (1) singer (2) socities (5) sport (1) thai (2) travel (6) viet (1) vietnam (18) work (2)

Friday, November 20, 2009

ตระกูลเล(Lê)

มีเพื่อนสมาชิกท่านหนึ่งแซ่เล อยากทราบที่มาของแซ่ตระกูลเล อันที่จริงแล้วผมมีLinkเพื่อนบ้านวิกิพีเดีย(http://th.wikipedia.org/wiki/ประเทศเวียดนาม) เป็นประวัติที่มาของต้นตระกูล และประวัติศาสตร์ของเวียตนาม ลองไปอ่านดูเพิ่มเติมเองนะครับ ผมจำได้ว่าตอนที่อยู่โฮจิมินห์ซิตี้เคยเห็นถนนเส้นหนึ่งชื่อเล เหล่ย ในเขตหนึ่ง เป็นถนนเส้นใหญ่จากตลาดBen Thanh ไปสุดที่โอเปร่าเฮ้าส์ สองข้างทางเป็นบริเวณซื้อของที่ระลึก โรงแรมRex หอประชุมประชาชนของพรรคคอมมิวนิสต์ ชื่อถนน อนุสาวรีย์วีรบุรุษในเมืองโฮจิมินห์ ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์ ซึ่งไว้จะเล่าคราวหน้าต่อนะครับ มาเข้าเรื่องดีกว่า โดยจะว่าไปยุคของตระกูลเล เกิดขึ้นในสองช่วงเวลาคือช่วงปลายยุคราชวงศ์เก่า ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก พ.ศ. 1524-1552 และช่วงกลางราชวงศ์ยุคใหม่หรือราชวงศ์เลยุคหลัง พ.ศ. 1971-2331 ยุคแรกของเลคงเป็นช่วงสั้น ไม่โดดเด่นนัก สู้เลยุคหลังไม่ได้ บุคคลทีทำให้ตระกูลเลยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นจักรพรรดิ์ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เลยุคหลัง วีรบุรุษในตำนานประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ตำนานทะเลสาบคืนดาบในฮานอย ท่านนั้นก็คือ

Thursday, November 12, 2009

รำลึกถึงปลาก๊าแก่ว

Cá Kèo(ก๊า แก่ว) ดูแล้วคล้ายปลาตีน ชาวภาคใต้บ้านเราเรียกว่าปลาท่องเที่ยว(Trypauchen vagina) ชาวจีนเรียกว่าปลาอั้งโกหลัน ตัวยาว หัวกลมรี ทู่ เกล็ดอ่อน ลำตัวขาวอมแดง อาศัยตามก้นอ่าวเลนตมวางไข่ตามปากน้ำ หรือบริเวณน้ำกร่อย แม่น้ำลำคลอง บางแห่งตามบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงเวียตนาม ตามจังหวัดสุราษฎร์ นครศรีฯ สงขลา ในอินเดียถึงตาฮิติและจีนตอนเหนือ เป็นปลากินพืช รากพืชอ่อน โตเต็มที่ ยาวเกือบ 8นิ้ว หนัก 0.77ออนซ์ ชอบขุดรูตามพื้นทะเลที่เป็นโคลนอยู่ไม่เป็นที่ พอน้ำหลากรูปิด ก็ออกจากรูพบมากในฤดูฝน ชาวบ้านใช้เบ็ดจับไม่ได้ ต้องใช้

Friday, October 2, 2009

Truyền Kiều

Truyền Kiều
Một mình lặng ngắm bóng nga
Rộn đường gần với nồi xa bời bời
Người mà đến thế thì thôi
Đời phồn hoa cũng là đời bỏ đi
Người mà gặp gỡ làm chi
Trăm năm biết có duyên gì hay không
Truyền Kiều : Nguyễn Du
Truyện Kiều เจวี่ยน เกี่ยวหรือบทประพันธ์เกี่ยว แต่งโดย Nguyễn Du (1765-1820) เป็นบทประพันธ์ที่คลาสิกของเวียตนาม ด้วยจำนวนกว่า 3,254 บรรทัด นิยมขับร้องด้วยทำนองพื้นบ้านและเครื่องดนตรีพื้นเมือง(ca dao) รวมทั้งการนำบทประพันธ์ไปเขียนอย่างงดงามด้วยพู่กันจีน เนื้อหากล่าวถึงชีวิต ที่ลำบากยากแค้น ของหญิงสาวชื่อThúy Kiều สาวแรกรุ่นที่สวยและเก่ง ได้เสียสละตัวเองเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของตน เธอจึงไม่เหมือนผู้หญิงที่ขายตัวทั่วไป เพียงแต่ต้องการช่วยพ่อและน้องชายจากการจองจำในคุก
Nguyễn Du แต่งโดยใช้เค้าโครงจากเรื่องKim Vân Kiều บทประพันธ์ที่คลาสิกของจีน โดยนำพาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวเนื่องในปลายศตวรรษที่18 ยุคราชวงศ์ Lê โดยมีกษัตริย์ Trịnh ปกครองทางตอนเหนือและมีกษัตริย์ Nguyễn ปกครองทางตอนใต้ ในขณะที่ทั้งสองมีความขัดแย้งกัน กลุ่มกบฏ Tây Sơnก็ได้ทำการปฏิวัติ ยึดอำนาจจากสองกษัตริย์ จวบจนนับสิบปี ตัวNguyễn Du เองนั้นจงรักภักดีต่อราชวงศ์Lêและหวังว่าราชวงศ์นี้จะกลับมาปกครองอีกครั้ง จนในปี คศ.1802 กษัตริย์Nguyễn Ánhได้รวบรวมอาณาจักรเวียตนามทั้งหมดและได้ก่อตั้งราชวงศ์Nguyễn สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ์ยาลอง(Gia Long) และอยากให้ Nguyễn Du เข้าร่วมงาน แต่เขาไม่เต็มใจนัก เหตุการณ์ในตอนนั้นเปรียบได้กับตัวเอกของเรื่องที่ เขาแต่งในTruyện Kiều บทประพันธ์ถูกเขียนไปในเชิงแฝงความคิด ที่ขัดแย้งความเชื่อ อย่างลัทธิเต๋าขงจื้อ อาทิเช่น
-เริ่มด้วยความลำบากของหญิงสาวจากความโลภของขุนนางจีนคนหนึ่ง แต่กลับยกย่องขุนางอย่างมีศีลธรรม
-กลุ่มจราจลTu Hai ถูกยกย่อง แต่ว่ากษัตริย์Nguyen Tu Duc กล่าวว่าคนแต่งนี้สมควรจะได้รับโทษอาญา
-นางหลงรักชายหลายคนที่ไม่ได้เห็นชอบจากพ่อแม่ ความรักที่มีข้อกังขาขัดหลักการขงจื้อ
-นางหลงรักชายสามคนที่มีความแตกต่างกัน แต่นางคงความซื่อสัตย์ที่มีต่อชายหนึ่งเดียวที่เข้ามาในชีวิตเธอ ต้นฉบับแต่งด้วยภาษาเวียตนามโบราณ(จีน) และได้แปลคำอ่านเป็นภาษาเวียตนามปัจจุบันตามที่ทางคุณNgaได้ลงบทความนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบทประพันธ์ ผมไม่ค่อยถนัดงานแปลหากมีโอกาสจะแปลให้คราวหน้านะครับ

Sunday, November 30, 2008

สิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

จะว่าไปแล้วความเชื่อของคนเวียตกับคนไทยก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก ผมจำเมื่อครั้งปี 2550 นั้นเป็นปีที่คนบ้านเราขาดกำลังใจและศรัทธาอย่างรุนแรง จตุคามซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่มีกระแสปลุกเสกกันอย่างกว้างขวางและคลั่งไคล้ แต่ทว่าไม่ถึงปีก็เสื่อมความนิยมลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเป็นการพิสูจน์ได้ว่า วัตถุมงคลไม่ได้ช่วยอะไรไปมากกว่าความสบายใจแค่ชั่วคราวเท่านั้น วันนี้ผมได้เดินทางร่วมไปกับคณะลูกทัวร์ผู้ที่อาศัยอยู่ลุมพินีนวมินทร์แฮปปี้แลนด์ โครงการเที่ยวเจ็ดวัด(ยือ อ๊าน ไบ๋ จั่ว) ในจังหวัดนครปฐม แต่โปรแกรมสถานที่มีการเปลี่ยนแปลง ที่แรกที่ได้ไปก็คือวัดดอนหวาย เขตอำเภอสามพราน เป็นสถานที่ขึ้นชื่อในหมู่นักชอบปิ้งของกินทั้งนั้น สาวสาวชอบมากเป็นตลาดที่มีมาตั้งแต่รัชกาลที่6 ตามคำบอกเล่าชาวบ้านนั้นเดิมทีสถานที่นี้เดิมเรียกว่าโคกหวายเพราะมีต้นหวายอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2394 โดยสงฆ์(ดอบ ฝัก)สานุศิษย์ของหลวงพ่อโสธรฉะเชิงเทรา เดิมทีเป็นชุมชนเก่าแก่ชาวจีนติดริมแม่น้ำท่าจีน(ซอม ท่า จีน)ซึ่งมีต้นน้ำแยกมาจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่จ.ชัยนาทปลายแม่น้ำออกมหาชัยสมุทรปราการ มีหลายตระกูลอาทิแซ่อึ้ง แซ่เตียว แซ่โง้ว แซ่ลิ้ม ต่อมาได้กลมกลืนเป็นคนไทยไปแล้ว เราค่อนข้างมาเช้าไปหน่อยตลาดพึ่งจะเปิดขาย ส่วนมากเป็นของกิน ส้มโอนครชัยศรี ทับทิม แตงโม(เหยื่อ)น้ำผึ้งเปลือกเขียวเนื้อเหลือง แตงโมไดอาน่าที่ลูกเหลืองเนื้อแดง หนังปลากรายทอดกรอบ และอื่นๆ ของแปลกที่เจออีกก็มี เจอต้นฮว่านหง๊อก คนขายเล่าว่ามีสรรพคุณหลายอย่างจำไม่ได้ บ้านเราเรียกว่าพญาวานร คือลิงไปกินแล้วหายเจ็บป่วยคนเราก็เลยเอาไปกินบ้าง เป็นพืชที่นำมาจากเวียตนามต้นละ50บาทสี่ต้นร้อยบาท ท่าน้ำมีเรือเช่าชั่วโมงชมทัศนีนภาพแม่น้ำ ตอนเหนือแม่น้ำไม่ไกลเป็นที่ประทับรับรองฟ้าหญิงอุบลรัตน์ อากาศวันนี้เย็นดีแดดไม่มีเลย ท่าน้ำก็เต็มไปด้วยปลาสวาย ตัวโตโตแก่แก่(เลิ้ง เลิ้ง หย่า หย่า ) ที่จอดรถเต็มตอนเราออกมา เราไปวัดไร่ขิงต่อซึ่งห่างจากจุดนี้ไปห้ากิโลเมตร ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดไร่ขิงขอพรแล้วสมปรารถนา วัดนี้พื้นที่จอดรถกว้างมากหอระฆังใหญ่มาก คนมากันเยอะมาก โดยจะมากันเป็นครอบครัวไหว้พระขอพร ตรงข้ามอุโบสถเป็นที่ตั้งศพบำเพ็ญ มีวงปี่พาทย์มอญสวยงามมากกำลังบรรเลง ชุมชนนี้มีคนมอญอาศัยอยู่มากตั้งแต่รัชกาลที่1 รัตนโกสินทร์ คงจะเป็นตอนที่ช่วยกู้ชาติตอนเสียกรุงศรีอยุธยา ทราบว่าวัดนี้ก็ก่อตั้งโดยสานุศิษย์อีกรูปหนึ่งของหลวงพ่อโสธรเช่นกัน คงจะก่อตั้งระยะเวลาไล่เลี่ยกับวัดดอนหวาย เดิมทีตรงนี้เป็นไรป่าขิงจึงเป็นที่มาของชื่อวัด หลวงพ่อวัดไร่ขิงคือพระพุทธรูปปางมารวิชัยคือนั่งขัดสมาสหัตถ์ขวาคว่ำวางที่หน้าแข้ง หันหน้าไปทางแม่น้ำท่าจีน(ทิศเหนือ) ที่นี่ห้ามจุดประทัดดภายในวัด จะมีสถานที่ให้จุดเป็นห้องเก็บเสียงติดตีนสะพาน(เก่า ท่า จีน)แม่น้ำท่าจีนห่างอุโบสถสองร้อยเมตร แปลกดี ต่อไปก็เป็นวัดไผ่ล้อมหลวงพ่อพูล เดิมมีต้นไผ่ล้อมรอบวัด ตามภาษาอินเดียไผ่เรียกว่าเวฬุ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว ที่นี่ขึ้นชื่อทางด้านให้หวยแม่น ศพหลวงพ่อพูลไม่เผาแต่ถูกเก็บไว้ในโลงแก้วตามความเชื่อหรือเอาไว้หากินก็ไม่ทราบได้ ฮ่า...แต่ที่นี่มีหลายคนไปซื้อหวย(เว้ โซ้)แล้วถูกก็มี ส่วนที่กำลังมาแรงตอนนี้ก็วัวธนู ให้คุณทางค้าขายร่ำรวย ปัจจุบันทางวัดมีหลวงพี่น้ำฝนเป็นผู้บริหาร คนก็เยอะมากๆ ไม่ไกลนัก ผมสังเกตเห็นพระปฐมเจดีย์วรมหาวิหาร อยู่ไกลๆ ถามชาวบ้าน เล่าว่ากำลังอยู่ในระหว่างบูรณะเพราะฐานทรุด แต่ก่อนที่เราจะไปนั้น เราจะต้องไปที่พระราชวังสนามจันทร์ซึ่งเป็นวังเก่าของ ร.6 จะเป็นอย่างไรคงไว้เล่าคราวต่อไป